เจ๊ะสุตินบ่าเด
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
หมอกยังเคลียอยู่ตามหย่อมหญ้า และหยาดชื้นจากน้ำค้างยังพราวแพรวอยู่บนกลีบบัวดิน ดอกน้อยสีชมพูตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย
เสียงเจื้อยแจ้วของนักเรียนอ่านหนังสือแบบเรียนประสานกับเสียงนกร้องบนยอดไม้ กลุ่มเด็กเดินดาหน้าลงมาตามถนนที่ลาดลงมาจากแนวเนินที่โรงแรมตองยีตั้งอยู่ เสียงเล็ก ๆ นั้นสะท้อนสะท้านเหมือนจะปลุกต้นไม้ใบหญ้าในบริเวณนั้นให้ตื่นขึ้นมาสดับรับเสียงบริสุทธิ์ใสแจ๋วของเยาวชนคนรุ่นใหม่ของพม่า
คนพม่าชอบอ่านหนังสือกันไหม ชอบอ่านเรื่องอะไร นี่คือคำถามที่หลายคนอยากรู้คำตอบ และคำตอบก็อยู่ที่นั่น ที่โน่น และที่นี่ ที่ริมถนนเราเห็นหลายคนกางหนังสือขนาดกระเป๋าบ้านเรา รูปหน้าปกบอกว่าเป็นเรื่องเริงรมย์ โศกเศร้าเคล้าน้ำตา หญิงในชุดผ้านุ่ง เสื้อป้าย เกล้ามวย กับพระเอกในชุดยีนส์ และหมวกโคบาลเหมือนเสือดำ-เสือใบบ้านเรา
บางเล่มปกคล้ายพงศาวดารแบบพระเอกถือทวน ใส่หมวกมหาดเล็กอย่างจะเด็ดขุนพลผู้ชนะสิบทิศ ที่เชิงบันไดขึ้นเนินมันดะเลย์ก็มีเด็กสาวนั่งอ่านหนังสือ ทหารถือปืนบนดาดฟ้าสนามบินเฮโฮแห่งตองยีก็อ่านหนังสือเหล่านี้ ตีสนิทเข้าไปขอพลิกดูบ้างจึงได้เห็นว่าข้างในเป็นการ์ตูนทั้งเล่ม คือรูปเขียนเป็นเรื่องเป็นราวอย่างหนังสือนิทานการ์ตูนนั่นเอง
บนแผงหนังสือ ในตลาดนัดกลางถนนยาวเหยียดที่มัณฑะเลย์ก็มีแผงขายหนังสืออยู่หลายแผง ล้วนปกคร่ำคร่าอย่างหนังสือเก่าให้เช่า มีทั้งหนังสือปกอ่อนขนาดกระเป๋าหน้าปกดังกล่าวนั้น และเรื่องแปลหลากชนิด นอกจากพวกวิชาการประเภทเชิงช่างต่าง ๆ แล้ว ก็นั่นไงหนังสือต้องห้ามในบ้านเรา หน้าปกมีทั้งสตาลิน เช กูวาร่า และประธานเหมา แปลเป็นภาษาพม่าเล่มเขื่อง ๆ วางปนเปอยู่บนแผงนั้น
“เราเรียนวรรณคดีสามสมัย คือ พุกาม ตองอู และโกบอง หรือรัชสมัยพระเจ้าอลองพญา กวีตองอูที่มีชื่อก็เช่น นะเชนนอง เป็นต้น” หม่อง ทูน นักศึกษาปริญญาโททางวรรณคดีแห่งมหาวิทยาลัยย่างกุ้งกล่าวกับเรา
“อ้อ อีกคนล่าสุด คุณคงรู้จัก นักวรรณกรรม นักการเมือง และนักปฏิวัติของพม่า อูนุ ไงครับ ก่อนจะมาเป็นอูนุที่ใคร ๆ รู้จัก เขาเป็นนักเขียนผู้มีชื่อและมีบทบาทมาก งานเขียนของอูนุปลุกใจให้รักชาติ และต่อต้านจักรวรรดินิยมเต็มที่”
เมื่อพม่าปฏิวัติปลดแอกตัวเองนำประเทศเข้าสู่สังคมนิยมแบบพม่านั้น เหตุไฉนเส้นทางสู่สังคมนิยมของพม่าจึงกะปลกกะเปลี้ยเต็มทีเล่า เรื่องนี้ผู้สันทัดกรณีพม่าแถลงอย่างชนิดเปลื้องชายพกโสร่งให้ฟังว่า
“เพราะทหารที่ปฏิวัติไม่มีพื้นฐานสังคมนิยมมาก่อนนะซี้ อาศัยบารมีที่เป็นผู้นำปฏิวัติปลดแอกประเทศมาได้เท่านั้น”
“แต่คุณอย่าลืมนะหม่อง ว่าสังคมนิยมในโปรตุเกสได้รับความสำเร็จก็ด้วยน้ำมือทหารที่ปฏิวัติเหมือนกัน” เสียงบางคนแย้งอย่างคาดคั้น
“คุณก็ต้องไม่ลืมเหมือนกันด้วยว่าทหารปฏิวัติของโปรตุเกสนั้น ล้วนทหารที่ก้าวหน้ามาก่อน ทหารพวกนี้มีพื้นฐานมาจากมหาวิทยาลัยก่อนที่จะก้าวเข้าแบกภาระเป็นผู้นำประเทศโปรตุเกสสู่สังคมนิยม กลุ่มผู้นำพม่าซึ่งเป็นทหารนั้น เมื่อเปลี่ยนแปลงประเทศได้แล้ว ก็คิดว่ามีแต่แนวทางสังคมนิยมเท่านั้นที่จะพาประชาชนซึ่งกำลังตกต่ำย่ำแย่ถึงที่สุดนี้ให้ก้าวเดินต่อไปได้ด้วยความเป็นตัวของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่เขาก้าวพลาดขั้นตอนสังคมนิยมไปหลายก้าวทีเดียว โดยเฉพาะขั้นตอนของประชาธิปไตยแผนใหม่ และการปฏิวัติทางวัฒนธรรม” ผู้สันทัดกรณีขยายชายพกโสร่งแล้วขมวดใหม่อย่างมั่นใจ
เมื่อถามว่าขณะนี้มีแต่นายพลอูเนวินเท่านั้นหรือที่กุมอำนาจแต่ผู้เดียว ผู้สันทัดกรณีก็ขยับขยายชายพกโสร่งต่อ
“ทหารรุ่นเดียวกับนายพลเนวินไม่มีแล้ว เนวินจึงเป็นที่รวมศูนย์อำนาจอยู่คนเดียว”
“คุณไม่คิดหรือว่า ถ้าสิ้นอูเนวินแล้ว จะมีกลุ่มอื่นขึ้นมาแทน”
“ก็ไม่พ้นกลุ่มทหารอีกนั่นแหละ”
“ใครคือผู้มีอำนาจรองจากเนวินขณะนี้”
“นายพลชานยุ”
“อะไรกำลังเป็นเรื่องหนักอกอูเนวินทุกวันนี้”
ผู้สันทัดกรณีดูดน้ำผลไม้ยี่ห้อเดียวที่เป็นน้ำขวดของพม่าวาบเดียวขวดขาว
“โอย ผมว่าหลายเรื่องละครับ ปัญหาชายแดน ปัญหาเศรษฐกิจ คุณรู้ไหม เมื่อเร็ว ๆ นี้มีคดีพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกสองคดี คือมีผู้สังหารเนวิน กับอีกคดีเป็นพวกแบ่งแยกดินแดนอารากัน และสุดท้ายพรรคคอมมิวนิสต์พม่าที่กำลังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ก่อนนั้นมีเพียงดักซุ่มยิง ยิงแล้วก็หนีไป แต่เดี๋ยวนี้ยิงแล้วยังซุ่มคอยยิงซ้ำ แถมยังมีผู้เข้ามาช่วยเหลืออีก” ฟังแล้วขนลุก เหมือนได้ฟังข่าวจากประเทศอื่นที่ไม่ใช่พม่า เราอดถามไม่ได้
“คุณคิดว่าถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนี้ อูเนวินจะยืนหยัดอยู่ได้อีกสักกี่ปี”
ผู้สันทัดเน้นคำเหมือนหมดหวัง “เคยมีผู้วิเคราะห์ว่าไม่เกินห้าปีครับ”
“ไม่มีใครจะเป็นอะไร จะวิตกกังวลกันขนาดไหน แต่ชาวบ้านก็คือชาวบ้านผู้น่ารักเสมอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นไงที่นั่งอยู่ตรงนั้น ริมศาลาเชิงบันไดทางขึ้นไปนมัสการพระนอนองค์โตที่ชานเมืองพะโคหรือหงสาวดี
เธอนั่งขายของที่ระลึกที่ทำด้วยไม้ไผ่ เป็นของเด็กเล่น นั่นแน่ ปืนกลติดจรวด ยิงกราดออกเป็นชุด เสียงรัวได้ด้วยนะ มีขาตั้งด้วย นี่ไงหมุนลวดตรงนี้จะทำให้เฟืองไม้ตัวเล็ก ๆ ข้างใต้หมุนไปกระทบกับชิ้นไม้ไผ่บาง ๆ ที่ยื่นเป็นเดือยอยู่ เอาละนะ ยิงเลย ปัง ๆๆๆ
นั่นมีดดาบยาวมีฝักสวยงาม นี่กระบี่สั้นก็มี ทุกอย่างเป็นไม้ไผ่ทั้งสิ้น เขาเอาลวดเผาไฟมาจี้ทำลวดลายสวยงามลงบนผิวไม้ไผ่เหลือง นั่นม้าไม้ชักด้วยเชือก ขยับเต้นได้ด้วย เหมือนม้าหุ่นกระบอกนะ หวีไม้ก็มีแน่ะ อันละจาดเดียวเท่านั้น ไม้ตะขาบที่ตีกระทบเป็นจังหวะก็มี ชอบใจอันไหนก็จะผ่าซีกให้เดี๋ยวนั้นเลย
ทั้งสาวและเด็กทาหน้าด้วยแป้งทนาคา เข้ามารุมล้อมคณะคนนุ่งกางเกงที่พยายามจะเรียนภาษามอญ ภาษาพม่า “ลัวะเอด” เธอชี้ไปที่ย่าม เราฟังแล้วก็นึกไปถึงว่าชะดีชะร้าย “ลัวะ” จะมาจากคำว่า “ละว้า” เสียละกระมัง เพราะย่าม “ละว้า” ก็ขึ้นชื่ออยู่เหมือนกันนี่นา
“แพงมากว่าอย่างไร” เพื่อนเราส่งภาษาพม่ากระท่อนกระแท่นถาม “บะหม่าสกาดอดะเล...” เล่นเอาสาว ๆ หัวเราะกันลั่น
“เต๊ะมิยาเด่” ดีมากล่ะอะไร เธอว่า “เต๊ะเก๊าเด่” สวยละ สวยงามน่ะ ภาษาเธอว่าอย่างไร สวยมากเลยนะ เธอยิ้มเอียงอาย แล้วว่า “เต๊ะหละเด”
ถูกแล้ว ชาวบ้านก็ยังเป็นชาวบ้าน ซื่อเปิดเผย มีความคิดประดิษฐ์สร้างอย่างเป็นตัวของตัวเอง เราคาดเดาไม่ได้เหมือนกันว่า นี่ถ้าเมื่อไรโทรทัศน์เอย ของเล่นพลาสติกเอย หลั่งไหลเข้ามาในนามของอารยสมัย เด็กพม่าจะกลายเป็นเด็กญี่ปุ่นอย่างบ้านเราหรือเปล่าก็ไม่รู้
ถึงตอนนี้ ประชาชนก็คงน่าสงสารเหมือนอย่างเพื่อนบ้านไปอีกตามเคย จะพ้นเจดีย์บุเรงนองออกไปนอกกำแพงวัด มีเพิงใบตาลปลูกคลุมพื้นอยู่ ฝนกระหน่ำหนัก ต้องขอแวะพักหลบฝนอยู่ในนั้น เขาตั้งโต๊ะขายน้ำตาลเมาหรือตาลเหย่ส่ายด้วย
กระท่อมกลางดินนั้น ทำให้นึกถึงโรงแรมแถวนครชัยศรี เราถือวิสาสะโผล่เข้าไปทักทายคุณยายในนั้นเสียหน่อย จริงแหละก็เหมือนบ้านยายที่นครชัยศรีอีกนั่นเอง
ด้านหนึ่งมีเตาดินเหนียวและกระทะเคี่ยวตาลสด ถัดไปเป็นครัว บนโต๊ะเตี้ย ๆ มีกระบะใส่กับข้าว กับหม้อข้าววางอยู่ คุณยายเรียกให้กินข้าวด้วยกัน เราชะโงกไปดูสำรับกับข้าว มีน้ำพริกผักจิ้ม อดใจไม่ได้เลยลองกินดูคำหนึ่ง เอ ไม่เหมือนน้ำพริกบ้านเราเสียทีเดียวนะ ออกเค็มและก็ใสไปหน่อย ท่าจะอ่อนกะปิ
หน้าเพิงใบตาลมีเก้าอี้เอนนอนได้ ประดิษฐ์ด้วยก้านและตาลทั้งหมด กะทัดรัดน่ารักเป็นบ้า เรานอนอยู่ตรงนั้นดูเด็กหนุ่มเฉาะลูกตาลสดอย่างชำนาญ เต้าแล้วเต้าเล่า ไม่เคยพลาดเลย
ใช่แล้ว.. ชาวบ้านในชนบทผู้ทำงานอยู่กับแผ่นดินนั้น เขาอาจพลาดอะไรต่อมิอะไรที่สังคมเมืองเรียกกันว่าความศิวิไลซ์ หรืออารยสมัยมาเสมอ แต่สองมือของเขาที่พลิกฟื้นผืนดินขึ้นเป็นบ้านเป็นเมือง เป็นอู่ข้าวอู่น้ำนี่แหละ ไม่เคยพลาดเลยที่จะจับกุมศักดิ์ศรีของความเป็นคน เพื่อยืนหยัดอยู่บนแผ่นดินที่เขาเหยียบ ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่ครา และไม่ว่าจะที่ไหนด้วย
“เจ๊ะสุตินบ่าเด” แปลว่าขอบคุณ แม้วันนี้เราจะไม่ได้ยินเสียงพิณเสนาะใสในพม่าเลย แต่เราก็ขอ “เจ๊ะสุตินบ่าเด” ต่อชาวบ้านผู้น่ารักผู้ยืนหยัด จากประวัติศาสตร์อันเหยียดยาวมาถึงวันนี้ และเด็กน้อยที่จะสืบสานการต่อสู้เพื่อคงศักดิ์ศรีของความเป็นชาวบ้านต่อไป
โลกนี้เต็มไปด้วยชาวบ้านผู้น่ารัก และน่าคารวะเช่นนี้เสมอ