ป.อินทรปาลิต ผู้บันทึกสังคมด้วยหัสนิยาย
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 27 ฉบับที่ 7
ป.อินทรปาลิต เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2453 ถึงแก่กรรมด้วยโรคเบาหวานและปอดอักเสบ เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2511 รวมอายุได้ 58 ปี เขาเคยผ่านโรงเรียนนายร้อย เคยทำอาชีพหลายชนิด แต่สิ่งที่เป็นตัวเขาก็คือความเป็นนักเขียน
เขาจัดสถานะความเป็นนักเขียนของเขาว่าอยู่ในชั้น "อึ" แต่ตัวปรีชา อินทรปาลิต หรือ "ป.อินทรปาลิต"เองก็ไม่เคยอธิบายว่าลำดับชั้นนั้นมีความหมายว่าอย่างไร นอกจากจะบอกลักษณะชั้นอื่นๆ ที่อยู่ในลำดับก่อนว่า ชั้น "อะ" คือผู้เขียนหนังสือเป็นงานอดิเรก "อา" คือพวกที่ถืองานเขียนเป็นอาชีพ "อิ" คือนักเขียนอิสระ "อี" คือนักเขียนชนิดที่ใช้ชีวิตอย่างอีหลุยฉุยแฉก และสุดท้าย ชั้น "อึ" คือตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว
เขา - ผู้สร้างหัสนิยายอมตะชุด "พล นิกร กิมหงวน" และเรื่องบู๊ อย่าง "เสือใบ" หรือรักโศกอย่าง "นักเรียนนายร้อย" ให้คำอธิบายในทำนองนี้ไว้หลายครั้ง ในหนังสือหลายเล่ม ซึ่งบางครั้งอาจผิดแผกกันไปบ้าง แต่สำหรับชั้น "อึ" เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แน่นอน นั้นเป็นการเล่นคำของเขา จากความหมายของคำว่า "อึ" ที่เราใช้และเข้าใจกันทั่วไป
เขาอาจเปรียบเล่นให้เห็นขันเหมือนกับที่ในบางครั้งเขาเอ่ยถึง "นายปิ๋ว" นักประพันธ์ไส้แห้งที่เคยโผล่หน้าเข้ามาร่วมบทบาทกับคณะพรรคสี่สหายในหัสนิยายชุด "พล นิกร กิมหงวน" ซึ่งผู้อ่านก็รู้ว่า "นายปิ๋ว" คือตัวเขาเอง แต่ในความเป็นจริงนั้น ป.อินทรปาลิต เป็นนักเขียนที่ถ่อมตัวอย่างยิ่งคนหนึ่ง เขาว่า เป็นนักเขียนตลาด เป็นนักเขียน "สำนวน 10 สตางค์" อันหมายถึงนิยายราคาถูกๆ (ตามราคาหนังสือนิยายเล่มเล็กราคาเยาในสมัยที่เขาเริ่มต้นเขียนหนังสือ) หรือนิยาย "ตลาดๆ" ที่หาสาระอันใดมิได้ เขาไม่เคยแสดงความเสียใจกับคำเหยียดเช่นนั้น แต่ในวิสัยปุถุชน เขาน้อยใจ และไม่เคยลืมคำสบประมาทเช่นนั้น บางทีนั่นคือที่มาของความเป็นนักเขียน "ชั้นอึ" ที่เขาจัดอันดับให้กับตัวเองก็เป็นได้
"อาชีพอย่างปู่แกอย่าสนใจหรือดำเนินรอยตาม" ป.อินทรปาลิต บอกกับหลานปู่ ปริญญา อินทรปาลิต เมื่อผู้เป็นหลานปรารถอยากเป็นนักเขียนบ้าง "ขอให้ตั้งใจเรียนมากๆ เรียนให้สูงเข้าไว้ ภายภายหน้าจะได้มีโอกาสทำงานสบาย ได้งานดีไม่น้อยหน้าคนอื่น จริงอยู่.. การเขียนหนังสือไม่ใช่ของยาก ใครๆ ก็เขียนได้ หากได้รับการศึกษาพอสมควร แต่การเขียนให้ดีนั้นเป็นเรื่องยาก ทำยังไงผู้อ่านถึงจะยอมรับ ปู่เองไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน เรื่องของปู่จึงถูกเรียกว่านิยายประโลมโลกย์ หรือนิยายสิบสตางค์ ซึ่งหมายถึงระดับตลาดนั่นเอง อาศัยว่าเขียนมากจนผู้อ่านยอมรับและให้การสนับสนุน จึงมีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้ แต่ปู่ก็คิดเสมอว่า วันใดที่ผลงานของ ป.อินทรปาลิตไม่ได้รับความนิยมแล้ว ปู่จะเปลี่ยนไปทำอาชีพอะไรดี... "
บางทีเขาอาจจะมองตัวเองอย่างนั้น แต่เพื่อนในวงการนักเขียนด้วยกันกลับคิดตรงข้าม, สันต์ เทวารักษ์ ผู้เป็นหนึ่งในจำนวนเพื่อนนักเขียนไม่กี่คนนักที่เขาสนิทสนม กล่าวถึงเขาว่า
"คุณ ป. เจียมตัวว่าเป็นนักประพันธ์สำนวนตลาด จึงเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยเข้าสังคมกับเพื่อนนักประพันธ์ด้วยกัน แต่ผมกลับเห็นว่า เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรสำคัญทีเดียว เรานับกันว่าท่านสุนทรภู่เป็นราชากวีสำนวนกลอนตลาด เราก็อาจนับคุณ ป. เป็นราชานักประพันธ์ร้อยแก้วสำนวนตลาดได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับที่ "ไม้ เมืองเดิม" เป็นราชาสำนวนลูกทุ่ง และคุณ ป. มีผลงานมากมายเหลือคณานับ จะว่าเป็นเป็นนักประพันธ์ที่เขียนหนังสือมากที่สุดในโลกก็ดูเหมือนจะไม่ผิด ใครไปดูถูกเขาก็ไร้สติเต็มที"
ขณะที่อิศรา อมันตกุล นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของไทย กล่าวถึงเขาว่า
"ผมเชื่อว่าคุณค่าของการเขียนหนังสือของพี่ ป. สูงส่งยิ่งกว่าสำนวนสิบสตางค์มากนัก.... ใครกล้าเถียงบ้างว่า เล่มละ 10 สตางค์ ของพี่ ป. ในสมัยหนึ่งนั้นได้เป็นพลังรุนแรงขับดับตลาดหนังสือเมืองไทยให้ไหวตัวไปในทางเสริมส่งรายได้นักเขียน และปลุกเด็กรุ่นหลังให้ตื่นขึ้นในความสนใจที่จะอ่านหนังสือ รักหนังสือยิ่งกว่ายุคก่อนๆ"
สด กูรมะโรหิต ผู้นสร้างปักกิ่งนครแห่งความหลัง ก็กล่าวว่า
"คุณปรีชา อินทรปาลิต เป็นนักเขียนคนแรกคนหนึ่งของเมืองไทยที่สามารถเขียนหนังสือให้คนทั่วเมืองติดได้โดยไม่จำกัดเพศและวัย หนังสือของคุณปรีชามีคนอ่านอย่างกว้างขวางที่สุด พิมพ์จำนวนมากที่สุด จำนวนเรื่องก็มากที่สุด จนแทบจะจำกันไม่ไหว ประชาชนได้จารึกชื่อ ป.อินทรปาลิต ไว้แล้ว ชื่อนี้ยังอยู่ตราบที่ฟ้าเมืองไทยยังอยู่"
ทั้งหมดเป็นถ้อยคำบางส่วนของนักเขียน ทั้งรุ่นเดียวกันและรุ่นน้อยเอ่ยถึงเขา ถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้ถูกเอ่ยตามพิธีของหนังสืองานศพที่ผู้ตายมักจะวิเศษเสมอ แต่เป็นการเอ่ยอย่างคารวะ อย่างยอมรับในฝีมือ และอย่างตระหนักถึงคุณค่าแห่งงานเขียของเขาในแง่มุมต่างๆ กัน
ป.อินทรปาลิต ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2511 นั่นก็คือหลังจากที่เขาได้สร้างหัสนิยายชุด "สามเกลอ" หรือ "พล นิกร กิมหงวน" มาแล้วถึง 3 ทศวรรษ เมื่อเขาเริ่มเขียน "อายผู้หญิง" อันเป็นตอนแรกของนิยายชุดนี้ในปี พ.ศ. 2481 บางทีเขาจะไม่ได้คาดคิดเลยว่า นิยายชุดนี้จะยืนยงมาจนวันสุดท้ายของเขา และยังคงกระพันต่อมาจนถึงวันนี้ แน่นอน... ฉากและเรื่องอาจล้าสมัยไปแล้วในบางแห่งหรือหลายแห่ง แต่ความ "ล้าสมัย" นั้นเองได้กลายเป็นคุณค่าของนิยายชุดนี้ในวันนี้ นอกจากความสนุกที่ผู้อ่านยังคงหาได้
ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต ซึ่งเป็น "แฟน" งานเขียนของเขามาตั้งแต่เด็ก ได้นำสิ่งที่ดูเสมือนว่า "ล้าสมัย" นี้เองมาชี้ให้เราเห็นถึงคุณค่า งานเขียนขนาดยาว 2 เล่มจบ เรื่องวิวัฒนาการสังคมไทยกับหัสนิยายชุด พล นิกร กิมหงวน คือการชี้ให้ผู้อ่านชั้นหลังได้เห็นถึงบทอีกแง่หนึ่งของหัสนิยายชุดนี้ บทบาทที่เป็นเอกสารบันทึกความคลี่คลายของสังคมไทย นอกเหนือไปจากบทบาทที่มันเคยเป็นมาแล้วในอดีต นั่นคือการสร้างความรู้สึกรักหนังสือ การสร้างคนอ่านหนังสือ และรวมไปถึงการสร้างนักเขียนรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาอีกเป็นจำนวนไม่น้อย
อาจินต์ ปัญจพรรค์ ยกย่องเขาว่าเป็น "นักเขียนของประชาชน" พร้อมกับย้ำว่า "คำนี้ข้าพเจ้าไม่เคยใช้ และจะไม่ใช้พร่ำเพรื่อ"
นามปากกา
ป. อินทรปาลิต, นายปิ๋ว, จางวางปิ๋ว
ผลงาน
นวนิยายรักโศก: นักเรียนนายร้อย, แสนสงสาร, เรียมจ๋า, สาวกำพร้า ฯลฯ
หัสนิยายชุด พล นิกร กิมหงวน: อายผู้หญิง, สามเกลอผจญโจร, เยี่ยมปิยะมิตร, โลกล้านปี ฯลฯ
อาชญนิยาย: เสือใบ, ดาวโจร, เลือดทหารหนุ่ม ฯลฯ
นวนิยายยุวชน: เลือดทหารม้า, ขวัญใจนักรบ, ซูเปอร์แมนแกละ ฯลฯ
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์: ดาบทหารเสือ, ท้าวศรีสุดาจันทร์, พระเจ้าเสือ ฯลฯ
เรื่องสั้น: กระทิงเขาหัก, หล่อนเป็นสาวสมัยพลาสติก, มนต์รักเมื่อจันทร์ลับฟ้า, ชาย 10 โบสถ์ ฯลฯ