จิตวิญญาณประชาธิปไตยในเรื่องสั้นไทย
สุชาติ สวัสดิ์ศรี
หัวข้อปาฐกถาที่ให้มา หัวหน้าโครงการวิจัย อ.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ ได้บอกกับผมว่าให้พูด 45 นาที และให้ย้อนกลับไปในอดีตได้มากกว่าขอบเขตที่กำหนดว่า “40 ปี นับจาก 14 ตุลา 2516” เรื่องนี้แค่เวลา 40 ปีก็มีเรื่องสั้นไทยนับหมื่นเรื่องแล้ว ถ้าจะให้ย้อนไปมากกว่านั้น ผมเกรงว่าจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงอยากขอมองในเชิงประวัติวรรณกรรมเท่าที่เวลาจะอำนวย และจะยกตัวอย่างเท่าที่พอมีข้อมูลอยู่ใกล้ตัว
ก่อนอื่นไม่ทราบว่า เราเข้าใจคำว่า “จิตวิญญาณ”กันแบบไหน เมื่อครั้ง อบ ไชยวสุ (นามปากกา “ฮิวเมอริสต์”) ทำหนังสือเรื่อง สะกดให้ถูกตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2493 พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2505 พจนานุกรมเล่มนี้ไม่มีคำว่า จิตวิญญาณ มีแต่คำว่า “จิตใจ”และ “วิญญาณ” จิตใจแปลว่า “อารมณ์ทางใจ” วิญญาณแปลว่า “ความรู้แจ้ง ความรู้สึกตัว สิ่งที่สิงอยู่ในตน เมื่อร่างกายเปื่อยเน่าแล้ว ก็ยังเชื่อกันว่ามีอยู่ต่อไป” (1) พจนานุกรมฉบับมติชน ที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2547 ก็ไม่มีคำว่า จิตวิญญาณ แต่มีคำว่า จิตสำนึก ในความหมาย “ความรู้สึกที่รับรู้สิ่งที่สัมผัสได้” และได้ให้ความหมายคำว่า วิญญาณ ไว้ว่า “ความรับรู้ทางประสาทสัมผัส โดยปริยายหมายถึงจิตใจ เช่น มีวิญญาณนักสู้” (2) ต่อมาใน พจนานุกรมไทย-อังกฤษ ของดำเนิน การเด่น และเสฐียรพงษ์ วรรณปก ฉบับปรับปรุงใหม่เมื่อ พ.ศ.2551 มีคำว่า จิตวิญญาณ ในความหมายของคำว่า soul ในภาษาอังกฤษ ส่วน จิตสำนึก หมายถึงที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า conscious หรือ conscious mind (3) อันหมายถึง “ความตื่นรู้” ซึ่งคำนี้เป็นภาษาทางพระ ผมเองเคยนำคำนี้มาใช้ โดยเรียกปรากฏการณ์ของเรื่องสั้นไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2508 ถึง พ.ศ.2518 ว่ามีความตื่นรู้บางอย่างเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม โดยเป็นเหมือนขนบมาจากเรื่องสั้นชื่อ คำขานรับ ของ “ศรีบูรพา เมื่อ พ.ศ.2493 (4) ที่มุ่งแสดงจิตใจ “รับใช้ผู้อื่น” หรือส่วนรวม ปัจจุบันคงจะหมายถึงคำที่ใช้กันว่า จิตสาธารณะ และผมเคยเรียกปรากฏการณ์แบบอุดมคติในเรื่องสั้นไทยที่เป็นเหมือนรอยต่อก่อนหน้าและหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ครั้งนั้นว่า จิตสำนึกขบถ (5)
ความหมายของคำว่า จิตวิญญาณประชาธิปไตย ที่ให้โจทย์มา ก็ไม่ทราบว่าคณะผู้วิจัยจะใช้ระดับของความหมายไหน ครั้งที่ อ.เจตนา นาควัชระแสดง “ปาฐกถาช่างวรรณกรรม”ครั้งที่ 1 เมื่อปี พ.ศ.2533 (6) ท่านก็ตั้งหัวข้อว่า “วิญญาณประชาธิปไตย” ไม่ใช่ “จิตวิญญาณประชาธิปไตย” ส่วน อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ มองในประเด็นว่าเป็น “เจตจำนงและวัฒนธรรมทางการเมือง” (7) น้ำหนักของคำว่า ประชาธิปไตยจึงน่าจะขึ้นอยู่กับบริบทของคำว่า “ประชาธิปไตย” ว่าถูกนำมาใช้ตรงกันหรือไม่ เช่นบางคนเน้นไปที่อุดมการณ์ของนักการเมืองและพรรคการเมือง บางคนเน้นไปที่อุดมคติของบุคคลในสายอาชีพต่างๆ เป็นครูที่แท้ เป็นหมอที่แท้ เป็นพระที่แท้ เทศนาในสิ่งที่ตนเชื่อและยอมพลีได้แม้แต่ชีวิต เช่น สืบ นาคะเสถียร ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ “วิญญาณ” หรือ “จิตวิญญาณ” ผมก็อยากขออนุโลมไปก่อนว่ามีความหมายใกล้เคียงกัน และอยากใช้คำว่า จิตวิญญาณ ในความหมายที่ครั้งหนึ่ง เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เคยพูดว่าเป็นเรื่องคุณค่าชีวิต ทุกชีวิตไม่ว่าจะอยู่ในอุดมคติหรืออุดมการณ์ใดก็ตาม ย่อมมีด้านละเอียดอ่อนที่เป็นของตน คือ “..เป็นเรื่อง spiritual.. เป็นเรื่องอัตวิสัย” (8)
ดังนั้น จะเรียกว่า วิญญาณ (soul) จิตวิญญาณ ( spiritual) หรือ จิตสำนึก (conscious) คงจะมีบางสิ่งบางอย่างร่วมกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม สิ่งนั้นคือ จิตใจ มุมมองของจิตใจจึงเป็นเรื่องอัตวิสัย (subjective) เป็นนามธรรม “ข้างใน” (inside) ที่สัมพันธ์กับรูปธรรม “ข้างนอก” (outside) ประชาธิปไตยจึงมีบริบทหลากหลายทั้งแนวตั้ง (vertical)และแนวนอน (horizon) เมื่อมองแนวตั้ง มันคืออุดมคติซึ่งเป็นเรื่องของปัจเจก แต่เมื่อมองแนวนอน มันคืออุดมการณ์หรือเจตจำนงซึ่งเป็นเรื่องของโครงสร้าง (สังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม) ทั้งแนวตั้งแนวนอนล้วนมีความสัมพันธ์กัน ไม่แยกกัน อัตวิสัยเป็นเรื่องของเสรีภาพ (liberty) และภราดรภาพ (fraternity) ภววิสัยเป็นเรื่องของความเสมอภาค (equality) ประชาธิปไตยจึงหมายถึงวิถีทาง (means) ที่เป็นจุดหมาย (end)ในตัวมันเอง
จิตวิญญาณ หรือ จิตสำนึก ที่เกี่ยวข้องกับ ประชาธิปไตย จึงเป็น way of life ของผู้คนที่มีหลากหลายใบหน้า เป็นนามธรรมของคำว่าอิสรภาพ เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ และเป็นหลักการของประโยคที่ว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของ ราษฎรทั้งหลาย” ไม่ใช่ประโยคที่ว่า “อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย” (9)
“จิตวิญญาณประชาธิปไตย” ที่เป็นใบหน้าอันหลากหลายของวิถีชีวิตผู้คน เมื่อ 80 ปีก่อน คือมิติทางจิตใจที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์เคยใช้คำว่า มนุษยภาพ โดยกล่าวว่ามี “..ความมุ่งหมายที่จะปรับฐานะของมนุษย์ให้ได้ระดับอันทุกคนควรจะเปนได้..” และได้กล่าวต่อไปว่า “.. ถ้าเราไม่สู้หน้ากับความจริง นั่นแปลว่าเราได้หันหน้าเข้าหาความหลอกลวง.. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยความหลอกลวงทั้งหมด ยังเปนภัยน้อยกว่าสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยความหลอกลวงครึ่งหนึ่ง และความจริงอีกครึ่งหนึ่ง..” กุหลาบ สายประดิษฐ์ ไม่เอาด้วยกับคำว่า white lie ด้วยเหตุนี้ในบทความเรื่อง มนุษยภาพ ของเขาจึงกล่าวว่า “ความซื่อสัตย์คือความจริง ความจริงคือความซื่อสัตย์”(10)
สำหรับภาษาไทยที่ใช้กันว่า สร้างสรรค์ นั้น ว่าไปแล้วก็เป็นคำเกิดใหม่ ไม่เกิน 3 – 4 ทศวรรษที่ผ่านมานี่เอง ในหนังสือ สุภาพบุรุษรายปักษ์ ของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เมื่อ พ.ศ.2472-2473 ยังไม่พบว่ามีคำนี้เกิดขึ้น เมื่อผมทำ โลกหนังสือฉบับเรื่องสั้น ที่เป็นการก่อเกิดเรื่องสั้น ช่อการะเกด ในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 (ฉบับปฐมฤกษ์ วันเวลาที่ผ่านเลย สำนักพิมพ์ดวงกมล พ.ศ.2521) ผมตั้งใจนำคำว่า สร้างสรรค์ มาใช้ในความหมายที่กว้างขวางมากกว่าคำว่า เพื่อชีวิต เพราะคำว่า เพื่อชีวิต ในระยะนั้นได้กลายเป็นความหมายเฉพาะที่เป็นวรรณกรรมของ “พวกในป่า” (11) โดยคำว่า สร้างสรรค์ นั้นผมหมายไกลไปถึงคำว่า Creation ในภาษาอังกฤษมากกว่าจะหมายถึงบริบทในรูปแบบ Social Realism หรือ Socialist Realism ซึ่งแต่เดิมนั้นผมเข้าใจว่ามีความหมายเท่ากับคำว่า เพื่อชีวิต ตามที่ปรากฏอยู่ในทรรศนะของ “บรรจง บรรเจิดศิลป์” “นายผี” “เสนีย์ เสาวพงศ์” และคนสำคัญที่เป็นทฤษฎีมากที่สุด คือจากหนังสือ ศิลปเพื่อชีวิต โดย “ทีปกร” (นามปากกาของจิตร ภูมิศักดิ์ เมื่อ พ.ศ.2498) สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ผมคิดว่าภาษาไทยยังไม่มีคำว่า สร้างสรรค์ แต่มีที่เป็นคำโดดแยกกันไป คือ สร้าง และ สรร (ไม่มี ค การันต์) ส่วน สร้างสรรค์ คงจะถอดมาจากที่ภาษาอังกฤษใช้ว่า Creative หรือ Creation ในคติพระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าคือผู้ Creative ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนให้เกิดขึ้น คำว่า Creative หรือ Creation จึงมีค่าดั้งเดิมเท่ากับ “พระเจ้า”ในความหมายของ Christianity และตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา คำๆนี้ได้มาพร้อมกับ “เรือปืน” ของฝรั่งตะวันตก กล่าวคือมาพร้อมกับคำว่า “จักรวรรดินิยม” (Imperialism) ซึ่งก็ตามติดมาพร้อมกับ “การล่าอาณานิคม” [Colonialism] “ทุนนิยม” (Capitalism) และ “การทำให้เป็นอุตสาหกรรม” (Industrialization) คำว่า “สร้างสรรค์” ในความหมายของ Christianity ที่มาถึงสังคมสยามในสมัยปลายอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ จนสืบต่อมาถึงเวลาปัจจุบันที่เรากำลังนั่งอยู่ในห้องนี้ กล่าวโดยอารมณ์ขันมันเป็นเรื่อง “วุ่นวายสบายดี” (คำของ ชมัยภร แสงกระจ่าง) ที่ก่อผลสะเทือนมาจาก “ความเป็นสมัยใหม่” (Modernism) ของตัวอักษรภาษาอังกฤษ 3 คำ คือ S D A [S หมายถึง Science, D หมายถึง Democracy และ A หมายถึง Art] และ S D A ทั้งสามคำนี้ล้วนอยู่ในน้ำหนักของการ Creation (หรือการ Creative ) ในคติของ “การสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนให้เกิดขึ้น” คือเป็นความริเริ่ม [ Originality] ทั้งเรื่องของ Science, Art และ Democracy (ขอบคุณ “พระองค์วรรณ” ที่ได้บัญญัติศัพท์ Democracy เป็นภาษาไทยว่า “ประชาธิปไตย”)
คำว่า ประชาธิปไตย ที่หมายถึง ประชา + อธิปไตย แปลว่า “ความเป็นใหญ่ของราษฎร” หรือ “ความเป็นใหญ่ของประชาชน” นั้น หลักการก็คือเป็นการปกครองที่ “ถือมติของราษฎร” เป็นใหญ่ เพราะอำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของ ราษฎรทั้งหลาย ประชาธิปไตยที่มีจิตวิญญาณจึงเป็นการ Creative หรือ Creation ของราษฎรที่มีใบหน้าอันหลากหลาย ถ้าใช้ภาษาของจอห์น เลนนอน ในบทเพลง Imagin ใบหน้าอันหลากหลายที่ว่านี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า the Brotherhood of Man นั่นเอง จิตวิญญาณประชาธิปไตย จึงหมายถึงจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์
การอภิวัฒน์ หรือการเปลี่ยนผ่านให้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์นั้นเป็นวิถีทาง (Means) ที่เป็นจุดหมาย (end) ในตัวของมัน ในทรรศนะของผมมันคือจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ [The spirit of democracy is to be HUMAN] การเปลี่ยนผ่านใดๆ ไม่ว่าจะ “ทำการเมือง”กันแบบไหน ผมคิดว่าเราต้องถนอมรัก “มนุษย์” และ “ความเป็นมนุษย์” ไว้ให้ได้ (The revolution is to be HUMAN)
เรื่องสั้นไทยในแต่ละบริบททั้งอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่าจะนำเสนอเพื่ออะไรก็ตาม มันมีใบหน้าอันหลากหลายปรากฏเสมอ ศิลปะวรรณกรรมสำหรับผมไม่มีคำขยายตามฤดูกาลอีกต่อไป (ยกเว้นในทางวิชาการ) จะเป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิต (ทีปกร) วรรณกรรมปวงชน (ชลธิรา กลัดอยู่) วรรณกรรมแนวประชาชน (นศินี วิธูธีรศานต์) วรรณกรรมการเมือง (พานแว่นฟ้า) หรือไม่ว่าในชื่ออื่นใดก็ตาม ตั้งแต่สิ้นสุดยุคสงครามเย็นในช่วงทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ผมก็สิ้นสุดวิธีการมองศิลปะวรรณกรรมในกรอบที่ให้ การเมือง เป็นตัวตัดสินเพียงตัวเดียว เมื่อวรรณกรรมนำเสนอเรื่องราวของมนุษย์ที่มี “ใบหน้าหลากหลาย” มันจึงต้องมองไปที่ ข้างใน ให้ลึกที่สุดเสมอ ผมไม่มีคำว่า “เรือลำใหม่” มีแต่คำว่า “เรือลำเดียวกัน” และไม่เอาคำว่า “วรรณกรรมการเมือง”มาใช้ในความหมายของ “วรรณกรรมเพื่อชีวิต” อีกต่อไป (12) วรรณกรรมก็คือวรรณกรรม เมื่อกระทำออกมาอย่างมี “วรรณศิลป์” มันคือสิ่งที่ผมเรียกว่า สร้างสรรค์ โดยพุ่งเข้าหาความคิดริเริ่ม [Originality] และความเป็นเลิศ [Excellence] ซึ่งหมายถึงคุณภาพในระดับเข้มข้น ในปัจจุบันที่มีการแบ่งขั้วแบ่งข้าง “ทำการเมือง” กันเหมือนยุคสงครามเย็นที่แบ่งเป็นซ้าย เป็นขวา ผมมีการเมืองไม่พอที่จะ “เลือกข้าง” ดังนั้นไม่ว่าใครจะ “ทำการเมือง”กันแบบไหน ผมอยากขอใช้แว่นขยายส่องมองเป็นเรื่องๆ ศิลปะวรรณกรรมเป็นงานสร้างสรรค์ในฐานะ “มิติทางจิตใจ” ดังนั้นมันจึงมีความซับซ้อนที่ใช้ “การเมือง”อย่างเดียวมาตัดสินไม่ได้ วิธีคิดแบบนี้ในสมัยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เขาเรียกว่าเป็นพวกมี “ปัญหาทางความคิด” กล่าวคือ เป็น“โรคประจำศตวรรษ” ที่มองไม่เห็นชัยชนะของสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างก็อ้างคำว่า “ประชาชน” หรือถ้าจัดหนักเข้าไปอีก ก็ประณามว่าเป็นพวก “วีรชนเอกชน” สมัยนี้เขาคงเรียกว่า “สลิ่ม” หรือ “พวกทำตัวเป็นกลาง” เรื่องนี้ก็ต้องว่ากันเป็นเรื่องๆ เพราะขณะนี้ยังฝุ่นตลบอยู่ ( “ฝุ่นตลบ” เป็นคำของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หมายถึงการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง) จิตวิญญาณประชาธิปไตยจะปรากฏอยู่ใน “สี”ไหน ผมมีการเมืองไม่พอจะตัดสิน เพราะไม่ว่าจะ “สี”ไหนก็มา “ผ่านเกิด” กับผมได้ทั้งนั้น ถ้าเขียนเรื่องสั้นได้อย่างมุ่งความเป็นเลิศ จิตวิญญาณของเรื่องสั้นไทยแต่ละยุคสมัย ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับผม ผมมักกล่าวทีเล่นทีจริงว่า ผมใช้อัตวิสัย หรือใช้ มรส. ตัดสิน (มรส.แปลว่า “มาตรฐานรสนิยมส่วนตัว) และเรื่องสั้นไทยที่สะท้อน “จิตวิญญาณประชาธิปไตย” ในทรรศนะของผม อาจมองย้อนไปได้จนถึงสมัยที่ชาวสยามเริ่มรู้จักการเขียนหนังสือในรูปแบบ “ร้อยแก้วแนวใหม่” (prose narrative) กล่าวคือเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับ วัฒนธรรมหนังสือ ตั้งแต่ครั้งหมอบรัดเลทำ หนังสือจดหมายเหตุ Bangkok Recorder เมื่อ พ.ศ.2387 (ปลายรัชกาลที่ 3) และมาก่อเกิดรูปแบบของ “เรื่องสั้นไทย” (สมัยก่อนเรียกกันว่า “นิทาน”) ในหนังสือ ดรุโณวาท รายสัปดาห์ของ “คณะสยามหนุ่ม” เมื่อ พ.ศ.2417 อันถือเป็นต้นกำเนิดของเรื่องสั้นไทยยุคบุกเบิกที่ผมยกให้เรื่อง นายจิตรนายใจสนทนากัน เป็นรุ่งอรุณของเรื่องสั้นไทยแบบ Social Criticism และ ชายหาปลาทั้ง 4 เป็นรุ่งอรุณของเรื่องสั้นไทยแบบ Magical Realism (13) นับเวลาจาก พ.ศ.2417 มาถึงปัจจุบัน เรามีการเขียน “ร้อยแก้วแนวใหม่”ในลักษณะที่ต่อมาเรียกว่า “เรื่องสั้น” ผ่านมาแล้ว 138 ปี ผมเข้าใจว่าที่เรื่องสั้นไทยปัจจุบันมีความหลากหลายพอสมควรก็เพราะจุดเริ่มต้นของมันมีลักษณะแบบเข้มข้น คือเป็นทั้งเรื่อง Critical และ Magical แต่ผมก็ยังไม่เห็นภาพรวมของมันอย่างสมบูรณ์ เรามีการศึกษาวิเคราะห์วิจัยวรรณกรรมไทยกันมาช้านาน แต่ภาพรวมของคำว่า “ประวัติวรรณกรรมไทยสมัยใหม่” ที่อ้างอิงมาจากแหล่งของเอกสารชั้นต้นในทุกยุค ทุกสมัย เรายังไม่เคยทำได้ครบถ้วน
นายจิตรนายใจสนทนากัน ในหนังสือ ดรุโณวาท รายสัปดาห์เมื่อ พ.ศ.2417 มีเนื้อหาว่าด้วยไพร่ 2 คนคุยกัน คนหนึ่งชื่อ จิตร คนหนึ่งชื่อ ใจ (ซึ่งก็คงมาจากคำว่า จิตใจ นั่นเอง) ไพร่ทั้ง 2 (ยามเฝ้าประตูวัง) มีความคิดวิพากษ์วิจารณ์ความเหลวแหลกของสังคมสยามสมัยนั้น เช่นเห็นว่ามีแต่พระทุศีล และขุนนางโกงบ้านโกงเมือง นี่คือลักษณะสมจริงที่ต่อมาเข้าใจกันในฐานะของคำว่า เพื่อชีวิต ใช่หรือไม่ (คำว่า เพื่อชีวิต หมายถึงที่ศัพท์วรรณกรรมเรียกว่า Critical Realism และ Social Realism โดยคำหลังผมเคยบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยว่า สัจจะสังคม ถ้าหากจัดหนักเป็น Socialist Realism ก็จะเรียกว่า สัจจะสังคมนิยม แต่ต่อมาเห็นด้วยกับ “เสนีย์ เสาวพงศ์” ที่ให้ความเห็นว่า สัจจะ นั้นคือ Truth ส่วน อัตถะ คือ Real คือ “ความสมจริง” ในบริบทที่เป็นเนื้อหา ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนมาใช้ว่า อัตถสังคม และ อัตถสังคมนิยม ในเวลาต่อมา แต่ภาพรวมก็ยังหมายถึงสิ่งที่เรียกว่า เพื่อชีวิต ในระดับต่างๆ และผมคิดว่าเรามีบริบทของคำว่า เพื่อชีวิต มาแต่ครั้งเรื่องสั้นที่ชื่อ นายจิตรนายใจสนทนากัน นั่นแล้ว ตามมาด้วยเรื่องสั้นที่ชื่อ ชายหาปลาทั้ง 4 ในหนังสือ ดรุโณวาท รายสัปดาห์ ปีเดียวกัน กล่าวถึงตัวละคร 4 แบบ ที่นำมาจากเรื่องเล่ามุขปาฐะแต่ดั้งเดิมของเราเอง อ่านแล้วเห็นความเหลวไหลแบบ absurd ของชาวสยามมาตั้งแต่ยุคนั้น สำหรับผมนี่คือกระดูกหลักของเรื่องสั้นไทยยุคแรกในลีลาที่เรียกกันว่า Magical Realism กล่าวคืออยู่ในลีลา Magical แต่บริบทนั้นเป็น Realism จะเรียกว่าเป็นเรื่องสั้นอารมณ์ขัน หรือเรื่องสั้นสาธกความเป็นมนุษย์ที่โง่เขลาและเต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ และความหลงก็ได้ ตัวละคร Absurd ทั้ง 4 ต่างก็คิดว่า “กูแน่” “กูเก่ง” และทั้ง 4 ก็แบ่งขั้วกันจนนำไปสู่ความพินาศ ชายทั้ง 4 นั่งเรือลำเดียวกันไปหาปลา แต่ละคนต่างก็หลงว่าตัวเองเก่ง หูกาง บอกว่าถ้าไม่มีหูกางรับลมก็พาเรือออกไปจับปลาไม่ได้ ก้นแหลม ไม่นั่งเฉยๆ แต่นั่งกระแทกจนเรือมีรูรั่วทำให้น้ำเข้าเรือ ขี้มูกมาก บอกว่าถ้าไม่มีขี้มูกก็อุดเรือที่รั่วไปหาปลาไม่ได้ สามมือปาม มีสามมือ ก็อ้างว่าเพราะมีสามมือจึงจับปลาได้มากและได้เร็ว มีปลาเต็มลำเรือได้ก็เพราะตน แทนที่ทั้ง 4 จะร่วมมือกันก็กลับทะเลาะกันกลางทะเล จนเป็นเหตุให้เรืออับปางจมลงก้นทะเล และทั้ง 4 คนต่างพบจุดจบพร้อมกัน นี่คือรุ่งอรุณของเรื่องสั้นไทยแนวโศกนาฏกรรม นี่คือกระดูกหลักในรูปแบบและเนื้อหาที่ผมเห็นว่าเป็น Magical Realism จากพื้นฐานเรื่องเล่าพื้นบ้านของเราเอง ไม่ได้มาจากโศกนาฏกรรมแบบกรีก หรือแบบแมรี่ คอเรลลี่ (ความพยาบาท) ที่ตื่นเต้นกันเพราะนักเรียนนอกนำเอาเข้ามาแปลเมื่อ พ.ศ.2442 เรื่องสั้นไทย 2 เรื่องในรุ่นบุกเบิกเมื่อ 138 ปีของเรานี้ คือภาพสะท้อนจิตใจมนุษย์ที่น่าจะเป็นบทเรียนด้านกลับให้กับคำว่า “จิตวิญญาณประชาธิปไตย” ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และเพื่อเสนอให้เห็นว่า ถ้าเรามีโอกาสได้ศึกษาวิจัย “เอกสารชั้นต้น”ที่เป็นรากเหง้าของเราอย่างสมบูรณ์และเป็นระบบ คำว่า เรื่องสั้นไทย ของเรานั้นก็มีตัวอย่างที่แสดงจิตวิญญาณอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่เริ่มรุ่งอรุณ (คำของ เจือ สตะเวทิน) แต่ทำไมเราถึงหาตัวอย่างของเอกสารชั้นต้นมาได้ไม่เกินสมัยของ “ศรีบูรพา” และ “ดอกไม้สด” กล่าวคือเรายังไม่เห็นภาพรวมทั้งมุมกว้างและมุมลึกของคำว่า “ประวัติเรื่องสั้นไทยสมัยใหม่” หรือ “ประวัติวรรณกรรมไทยสมัยใหม่”อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา เราทำข้อต่อของเราเองหายไปเรื่อยๆ (missing link) ทั้งโดยตั้งใจ (เช่นการรัฐประหาร การตัดต่อทางความคิด การเซ็นเซอร์) และโดยไม่ตั้งใจ (เช่นค่านิยม “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี” ที่คนในสังคมให้ความสำคัญกับการคิด-การเขียน-การอ่านน้อยกว่าที่ควร) ตลอดเวลา 138 ปีที่ผ่านมา จิตวิญญาณของวรรณกรรมไทย (ที่มี “เรื่องสั้นไทย”เป็นส่วนหนึ่ง) จึงมีข้อต่อที่หายไปเรื่อยๆตามกาลเวลาและการถูกละเลย เช่นเดียวกับทุกครั้งที่มีการ “รัฐประหาร” คำว่า “ประชาธิปไตย” ก็ดูเหมือนถูก “ตัดตอน” หรือถูก “ตัดต่อ” กลายเป็น “ข้อต่อที่หายไป” แล้วแต่พระสยามเทวาธิราชจะทรงโปรด ดังที่มีสมญาร้อยแปด เช่น ประชาธิปไตยไทย-ไทย ประชาธิปไตย “เชื่อผู้นำ” ประชาธิปไตยรวมศูนย์ ประชาธิปไตย “เงินผัน” ประชาธิปไตยฝืด ประชาธิปไตยครึ่งใบ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ฯลฯ และตามความเข้าใจของผม บรรดาข้อต่อที่หายไปดังกล่าวไม่น่าจะเพิ่งมาเริ่มต้นที่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 (40 ปี) และหรือการอภิวัฒน์ของคณะราษฎรเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 (80 ปี) แต่จากรูปธรรมที่ปรากฏ การอภิวัฒน์ของคณะราษฎรนั้นย่อมต้องถือว่าเป็นรุ่งอรุณของคำว่า “ประชาธิปไตย” โดยแท้ แม้จะถูกตัดต่อทำนองว่าเป็นการกระทำแบบ “ชิงสุกก่อนห่าม” ที่มักถูกค่อนขอดมาจนปัจจุบัน แต่มันก็ไม่เคยถูก “ตัดตอน”ไปโดยสิ้นเชิง ว่าไปแล้วหน่ออ่อนของจิตวิญญาณประชาธิปไตยเคยมีรูปธรรมมาตั้งแต่ครั้ง เจ้านายและข้าราชการกราบบังคมทูลถวายความเห็นเรื่องจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ.103 (พ.ศ.2427) แต่ความเห็นของคณะขุนนางครั้งนั้นถูกรัชกาลที่ 5 บริภาษว่า “ยังไม่ถึงเวลา” หรือจิตวิญญาณประชาธิปไตยในงานเขียนเรียกร้อง ‘สภาปาเลียเม้นท์’ ของ “เทียนวรรณ” (ซึ่งผลก็คือถูกรัชกาลที่ 5 จับเข้าคุกเป็นเวลา 17 ปี) (14) หรือ กบฏ ร.ศ.130 ของคณะนายทหารหนุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยโดยให้กษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย เมื่อล้มเหลวคณะผู้ก่อการก็ถูกจับเข้าคุกกันระนาว หลายคนถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่ได้รับนิรโทษกรรมต่อมาภายหลัง (15) ถ้าเรามีเอกสารชั้นต้นในยุคสมัย ร.ศ.130 และหลังจากนั้นอย่างเป็นระบบ เช่น จีนโนสยามวารศัพท์ (2450) สยามมวย (2455) ผดุงวิทยา (2455) ไทยเอื้อ (2456) ศรีกรุง (2456) เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ (2458) ดุสิตสมิต (2461) กรุงเทพฯเดลิเมล์ (2462) สยามราษฎร์ (2463) วายาโม (2463) สยามรีวิว (2464) ศัพท์ไทย (2464) กรรมกร (2465) บางกอกการเมือง (2466) ตู้ทอง (2467) ไทยเขษม (2467) สารานุกูล (2468) เกราะเหล็ก (2468) เริงรมย์ (2468) สมานมิตรบรรเทอง (2469) เฉลิมวุฒิ (2470) สยามยุพดี (2471) สุภาพบุรุษรายปักษ์ (2472) ไทยใหม่วันจันทร์ (2473) ประชาชาติ (2475) ฯลฯ เราน่าจะเห็นภาพต่อเนื่องของคำว่า “วรรณกรรมไทยสมัยใหม่”ได้สมบูรณ์มากขึ้น แต่เอกสารชั้นต้นในอดีต ที่แสดงความตื่นตัวทางการอ่าน การเขียนอันเป็นรากฐานของประชาธิปไตยเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะเป็น “ข้อต่อที่หายไป” อีกเช่นกัน เอาแค่สิ่งพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 6 เท่าที่ค้นพบบางส่วนก็มีจำนวนถึง 132 รายชื่อแล้ว และสิ่งพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีจำนวนเพิ่มขึ้น 159 รายชื่อ หนังสือ สุภาพบุรุษรายปักษ์ ของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ที่กำเนิดขึ้นในปี 2472 ถือเป็นเพียงหนึ่งรายชื่อเท่านั้น(16)เอกสารชั้นต้นที่เป็นหนังสือพิมพ์และนิตยสารวรรณกรรมรายต่างๆที่เอ่ยชื่อมาเหล่านี้ คงน่าจะมีชิ้นงานที่สะท้อนจิตวิญญาณประชาธิปไตยของผู้คนในรุ่นรอยต่อแห่งทศวรรษ 2450,2460 และ 2470 มาให้ศึกษาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เช่นความคิดเรื่อง “มนุษยภาพ”ของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ในหนังสือพิมพ์ ไทยใหม่วันจันทร์ เมื่อ พ.ศ.2474 แสดงรูปธรรมที่เรียกร้องให้มนุษย์นั้น “ซื่อตรง”ต่อกัน (17)และเป็นรูปธรรมต่อมาในเรื่อง ภราดรภาพนิยม (Solidarism) ที่มีความคิดเศรษฐกิจเรื่องการกระจายความเป็นธรรมใน “เค้าโครงทางเศรษฐกิจ” (สมุดปกเหลือง) ของนายปรีดี พนมยงค์(18) เป็นตัวนำจนก่อให้ความขัดแย้งกับรัชกาลที่ 7 ที่เห็นว่า “ยังไม่จำเป็น” เพราะสังคมไทยนั้นมีการอุปถัมภ์กันเป็นชั้นๆ โดยกล่าวให้ความเห็นแย้งไว้ใน “สมุดปกขาว”ว่า “..แม้แต่หมาวัดยังไม่อดตาย” (19) และความขัดแย้งในเรื่องนี้ได้นำสู่การยกเลิกรัฐธรรมนูญบางมาตรา และมีการกล่าวหาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่า นายปรีดี พนมยงค์เป็นคอมมิวนิสต์ จนต่อมาได้นำไปสู่การนองเลือดระหว่างคณะเจ้าและคณะราษฎรในกรณี “กบฏบวรเดช”
ขอย้อนกลับไปที่คำว่า ประชาธิปไตย เพื่อเป็นข้อสังเกตว่าจิตวิญญาณประชาธิปไตยในบ้านเรานั้นว่ามีความขรุขระมาตั้งแต่เริ่มต้น แต่เราก็มี “เจตจำนง”ที่ชัดเจนมาตั้งแต่การอภิวัฒน์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยเสนอรูปธรรมผ่านทางหลัก 6 ประการของคณะราษฎร คือ
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3. ต้องบำรุงความสุขของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
หลัก 6 ประการของคณะราษฎรนี่แหละคือ “จิตวิญญาณประชาธิปไตย”ที่ปรากฏลายลักษณ์อักษรครั้งแรกใน ประกาศของคณะราษฎร ฉบับที่ 1และเจตจำนงหรือจิตวิญญาณดังกล่าวนี่เองที่ได้ประกาศออกมาว่า “ประเทศนี้เป็นของราษฎรทั้งหลาย ไม่ใช่ของกษัตริย์ (ดังนั้น) จึงต้องปกครองโดยราษฎร คือมีสภาเพื่อปรึกษาหารือกันหลายๆความคิดเพื่อความสุขความเจริญอย่างประเสริฐของราษฎร”(20) ที่ศัพท์ในสมัยนั้น นายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า ศรีอาริยะ ในเรื่องนี้มีหลักฐานว่าคณะราษฎรได้ทูลเกล้าฯเพื่อให้รัชกาลที่ 7 ลงพระปรมาภิไธยในวันที่ 26 มิถุนายน 2475 สองฉบับ คือ หนังสือพระราชกำหนดนิรโทษกรรม และ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม 2475 รัชกาลที่ 7 ได้ลงพระปรมาภิไธยให้ในฉบับแรก แต่ฉบับหลังขอเอาไว้ดูก่อน 1 คืน และได้ต่อรองให้เติมคำว่า “ชั่วคราว”ลงไป ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับแรกจึงมีชื่อว่า ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว (วันที่ 27 มิถุนายน 2475) แต่กระนั้นในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้บัญญัติมาตรา 1 ไว้ชัดเจนว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย ต่อเมื่อมีการประชุมสภาฯ ตั้งรัฐบาล เพื่อเห็นแก่ความสงบ คณะราษฎรจึงได้ยินยอมให้ทางฝ่ายคณะเจ้าเลือกพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก (ขณะนั้นเรียกตำแหน่งนี้ว่า “ประธานกรรมการราษฎร” (ขอให้เปรียบเทียบกับ “ยวนซีไข”ที่ขึ้นสู่อำนาจในสมัยการอภิวัฒน์ของ ดร.ซุนยัดเซ็น เมื่อ ค.ศ.1911) เวลานั้นสภาได้ตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา 7 คน และได้เพิ่มอีก 2 คน เป็น 9 คน ทั้ง 9 คนนี้มีตัวแทนของคณะราษฎรคือ นายปรีดี พนมยงค์อยู่คนเดียว การร่างรัฐธรรมนูญที่ต่อมาจะได้รับพระราชทานเป็นรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475 นี้ (และให้ถือเอาวันที่ 10 ธันวาคม เป็น วันรัฐธรรมนูญ แต่ได้ตัดต่อจนกลายมาเป็นคำว่า วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ) ส่วนคำว่า คณะราษฎร ก็ใส่เครื่องหมายการันต์ลงไปอย่างแยบยล จนกลายเป็นคำว่า คณะราษฎร์ (เพื่อให้พ้องเสียงกับคำว่า “คณะราช”) ประเด็นสำคัญของรัฐธรรมนูญวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ที่รัชกาลที่ 7 ขอไว้ดูก่อน 1 คืนนั้นก็คือ ได้เปลี่ยนคำในมาตรา 1 จากเดิมที่บอกว่า อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย กลายมาเป็น อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทย จิตวิญญาณของคำว่า “ประชาธิปไตย” จึงก่อเกิดขึ้นมาอย่างขรุขระตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ กล่าวคือจากคำว่า เป็นของ ก็กลายเป็นคำว่า มาจาก แต่การเปลี่ยนแปลง “ระบอบ”เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 มันเป็น the river of no return เสียแล้ว ดังนั้นมันจึงก่อให้เกิดเจตจำนงที่จะ “จำกัดอำนาจกษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ”มาตั้งแต่นั้น
ตัวอย่างสัญญาณอันขรุขระของคำว่า “ประชาธิปไตย” ภายหลังการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 เริ่มต้นมาจากการท้าทายอำนาจของฝ่ายนิยมเจ้าที่มีการต่อสู้กับฝ่ายคณะราษฎรจนบาดเจ็บล้มตายเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2476 และฝ่ายนิยมเจ้าพ่ายแพ้ กลายมาเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า กบฏบวรเดช ถ้าได้ศึกษาเอกสารชั้นต้นจากสิ่งพิมพ์ในเวลานั้น เราจะพบว่ามีบทกวี เรื่องสั้น บทละคร และนวนิยายของไทยจำนวนหนึ่งที่ยืนอยู่ทั้งข้างฝ่ายคณะเจ้าและคณะราษฎร ทางฝ่ายคณะราษฎรก็เช่นเรื่องสั้นชื่อ ลาก่อนรัฐธรรมนูญ ของ “ศรีบูรพา” ที่พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือชื่อ เทอดรัฐธรรมนูญ เมื่อปลายปี 2476 (21) “ศรีบูรพา”ได้สะท้อนผ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ว่า กระสุนนัดแรกจากการต่อสู้อันเนื่องมาจากคำว่า “ประชาธิปไตย” นั้นได้ดังขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2476 เอกสารชั้นต้นได้ระบุว่า ลาก่อนรัฐธรรมนูญ พิมพ์ครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2476 แสดงว่าชั่วเวลาเพียงไม่ถึงเดือน “ศรีบูรพา” ก็ได้เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้เพื่ออุทิศ “แด่วีรชน 17 นาย ซึ่งได้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อความสันติสุขของประชาชาติไทย” ในเวลานั้น กุหลาบ สายประดิษฐ์เป็นบรรณาธิการบริหาร นสพ.ประชาชาติ รายวัน (ที่มี มจ.วรรณไวทยากร วรวรรณ เป็นเจ้าของ) เนื้อหาของเรื่องสั้นกล่าวถึงตัวละครชื่อนายสมศักดิ์ เด่นชัย เป็นราษฎรหัวก้าวหน้า ยืนอยู่ข้างการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตย” และมีความเห็นว่าฝ่ายตรงข้าม คือกองกำลังของพระองค์เจ้าบวรเดชฯ ที่มีนายพันเอกพระยาสิงหราชคำรน เป็นแม่ทัพคนหนึ่งนั้น เป็นฝ่ายที่อยู่ข้าง “ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง” นายพันเอกพระยาสิงหราชคำรนผู้นี้มีศักดิ์เป็นลุงของนายสมศักดิ์ เด่นชัย และเป็นผู้คิดแผนใช้รถไฟพุ่งชนรถถังที่มาขวางอยู่กลางทางรถไฟ การใช้รถไฟเป็น “ตอร์ปิโดบก”ที่ทุ่งบางเขนครั้งนั้น มีทหารฝ่ายคณะราษฎรบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง นายสมศักดิ์ เด่นชัย ผู้เป็นหลาน ในฐานะเป็นราษฎรคนหนึ่งจึงต้องการอาสาสมัครเป็นทหารเข้าร่วมต่อสู้ ข้อความจากบทสนทนาตอนหนึ่งในเรื่องสั้น ลาก่อนรัฐธรรมนูญ ภรรยาได้ถามสามีของตนที่จะไปอาสาสมัครเป็นทหารเพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตยว่า
“เธอเป็นอะไรไปเสียแล้วละคะ, ศักดิ์ ดิฉันขอถามว่า เธอจะไปรบกับใคร เธอลืมเสียแล้วหรือว่า คุณลุงของเธอ นายพันเอกพระยาสิงหราชคำรน เป็นแม่ทัพคนหนึ่งในคณะท่านบวรเดช เธอจะไปรบกับคุณลุงของเธอหรือ เธอจะไปฆ่าคุณลุงของเธอหรือคะ,ศักดิ์?”
“ในเวลารบ เราไม่มีคุณลุง คุณน้อง คุณพี่” เขาพูดด้วยเสียงหนักแน่น “เรามีแต่ฝ่ายเขากับฝ่ายเรา เมื่อคิดถึงการของประเทศ เราต้องเลิกคิดถึงการส่วนตัว ฉันถือมั่นอย่างเดียวว่า ฉันจะไปรบพวกกบฏ เมื่อคุณลุงของฉันเป็นพวกกบฏ ฉันก็ช่วยไม่ได้”
“เธอไม่มีความเคารพญาติผู้ใหญ่ของเธอบ้างหรือ?”
“ฉันเคารพเหมือนกัน แต่ฉันยังเคารพรัฐบาล เคารพรัฐธรรมนูญ เคารพมติมหาชนยิ่งกว่าหลายเท่านัก”
“เธอมีเหตุผลอะไร ที่เรียกคุณลุงของเธอว่าเป็นกบฏ”(22)
เรื่องสั้น ลาก่อนรัฐธรรมนูญ มีใจความต่อมาว่า นายสมศักดิ์ เด่นชัย ได้ลอบเข้าไปสังหารนายพันเอกพระยาสิงหราชคำรนจนสำเร็จ ส่วนตัวเองก็ถูกทหารฝ่ายคณะเจ้ายิงโต้ตอบจนบาดเจ็บและเสียชีวิตในที่สุด และได้เปล่งวาจาครั้งสุดท้ายก่อนขาดใจว่า
“ลาก่อน ยอดรัก ลาก่อนรัฐธรรมนูญ”
นี่คือรากเหง้าความขัดแย้งแบบเลือดนองแผ่นดินครั้งแรก ที่สะท้อนผ่านเรื่องสั้นหลังการเปลี่ยนผ่านเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
หลานกับลุงฆ่ากันในเรื่องสั้นไทยครั้งนี้ถือเป็น “ราคาแห่งชีวิต”ของคำว่าประชาธิปไตย ที่จะมีตัวอย่างต่อไปอีกจำนวนไม่น้อย เป็นต้นเช่น เชิดนอก งานสารคดีในรูปแบบนิยาย โดย พายัพ โรจนวิภาต (ยุคทมิฬ : 2489)(23) ประชาทัณฑ์ โดย สันต์ เทวรักษ์ (โบว์แดง : 2490) (24) DUM SPIRO,SPERO โดยอิศรา อมันตกุล (สยามสมัยรายสัปดาห์ : 2491) (25) ถิ่นสยอง โดย “ดาวหาง” (สยามสมัยรายสัปดาห์ : 2492)(26) บนผืนดินไทย โดย “อ.อุดากร” (อักษรสาส์น : 2493)(27) ฯลฯ ในบรรดาวรรณกรรมที่สะท้อน “ราคาแห่งชีวิต” เหล่านี้จะปรากฏต่อเนื่องมาเป็นระยะจนถึงเรื่องสั้นในช่วงรอยต่อของทศวรรษ 2510 และ 2520 ที่เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของอุดมการณ์ในบริบทสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ และทุนนิยม-ประชาธิปไตย ที่ในครั้งนั้นผมเคยเรียกว่า จิตสำนึกขบถ (28)
ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้ผ่านกาลเวลา และเส้นทางลุ่มๆดอนๆภายหลังการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 มาจนครบ 80 ปีในปีนี้ เส้นทางตั้งแต่เริ่มต้นจนปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่ายังอยู่ในภาวะ “ฝุ่นตลบ” เริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก (พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475) จนมาถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550) ที่กำลังเรียกร้องให้มีการแก้ไขกันใหม่ และมีนักวิชาการหลายคนบอกว่าบ้านเรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน (29) ไม่ว่าจะมีจิตวิญญาณแบบประชาธิปไตย กึ่งประชาธิปไตย หรือเผด็จการ จากอดีตถึงปัจจุบันเราได้ผ่านรูปธรรมในการมี “รัฐธรรมนูญ”มาแล้ว 18 ฉบับ ผ่านการรัฐประหาร (ในความหมายของคำว่า “ยึดอำนาจ”) มาแล้ว 10 ครั้ง เฉลี่ยแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบันเรามีรัฐประหาร 8 ปีต่อ 1 ครั้ง มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งและ “ เสือกตั้ง”ทั้งหมด 28 คน มี “ทหาร”ที่มาจากการเลือกตั้ง และ “เสือกตั้ง”เป็นนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 12 คน (30) เส้นทางอันขรุขระของคำว่าประชาธิปไตยในรอบ 80 ปีที่ผ่านมานี้ มีปัญหาที่เราต้องถามตัวเองว่า เรามี วัฒนธรรมการเมือง จริงหรือ ถ้ามี มีแบบไหน จิตวิญญาณประชาธิปไตยเป็นผลที่แสดงถึงวัฒนธรรมการเมืองอันเป็นวิถีชีวิต (way of life) ของผู้คนในสังคมทุกระดับ เช่นเดียวกับคำว่า วัฒนธรรมหนังสือ ที่มีการพิมพ์หนังสือ เขียนหนังสือ มานับไม่ถ้วนตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่ 3 ไม่มีใครปฏิเสธความมีอยู่ของคำว่า “วัฒนธรรมหนังสือ” ในบ้านเรา แต่ผมก็ยังอดสงสัยมาจนบัดนี้ไม่ได้ว่าเรามี วัฒนธรรมการอ่าน (รวมทั้ง วัฒนธรรมการวิจารณ์) ที่งอกงามอย่างมีคุณภาพมาพร้อมกับ วัฒนธรรมหนังสือ จริงหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นเพียง “ภาพลวงตา”ประเภทหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือวรรณกรรม ต่างก็มีสภาพคล้ายๆกัน คือขรุขระ ไม่หลากหลาย ไม่ต่อเนื่อง และถูก “ตัดต่อ” “ตัดตอน” จนมีสภาพเป็นเหมือนที่นักเขียนรุ่นใหม่คนหนึ่งกล่าวไว้อย่างคมคายในบทความชื่อ “ล้าสมัยเท่าสมัยที่ล้าหลัง”(31)
เรื่องสั้นไทย : 39 ปีที่ผ่านมา
นับจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จนถึงเวลาในปัจจุบันที่เรากำลังหายใจเอาความขัดแย้งระหว่างทุนเก่ากับทุนใหม่ ระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างไพร่กับอำมาตย์ ระหว่าง “เทวดา” กับ “องค์อินทร์” (คำของ “ลาว คำหอม”ในเรื่องสั้น สวรรยา : ขวัญใจ 2505) และหรือเลือกข้างกันไปแล้วแต่ “เฉดสี” ตามมายาคติต่างๆของตน สิ่งที่ปรากฏในเรื่องสั้นไทยปัจจุบัน ผมคิดว่าเราได้ผ่านพ้นยุค “ถวิลหาอดีต”ที่เรียกว่า goodie หรือ good old day มาไกลแล้ว ถ้าย้อนกลับไปในอดีต เรื่องสั้นไทยที่เป็น “เพื่อนพ้องแห่งวันวาร” ของเรานั้น ได้เดินทางมาอย่างขรุขระไม่แตกต่างไปจาก “เพื่อนพ้องแห่งวันนี้” และในความเป็น “เพื่อนพ้องแห่งวันนี้”นั้น ผมอยากถือเอาปี พ.ศ. 2501 ในยุคเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ “ผ้าขะม้าแดง” เป็นจุดเริ่มต้นของการที่ “รัฐ”ถือสิทธิครอบงำราษฎรของตน โดยอ้างการต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อขยายฐานอำนาจให้ตนเอง จอมพลสฤษดิ์ได้“ตัดต่อ”และ “ตัดตอน”ความมีตัวตนของคณะราษฎรสายนายปรีดี พนมยงค์ และอิทธิพลในกองทัพของจอมพล ป.พิบูลสงครามลงไปได้อย่างสมบูรณ์ โดยเอาประเทศไปอยู่ในกำกับของสหรัฐอเมริกาที่ทำตัวเป็น “ตำรวจโลก” เริ่มต้นยุค “หมอผีครองเมือง” ที่หนุนนำการใช้ “สถาบันเบื้องสูง”มาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในยุคสงครามเย็น ประโยคที่ว่า รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงนี้ และได้กลายมาเป็นประโยคว่า ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในช่วงทศวรรษ 2520 ที่สืบเนื่องมาเรื่อยพร้อมกับจินตนาการ 3 บรรทัด
ชาติ
ศาสนา
พระมหากษัตริย์
เริ่มต้นจากเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 และการต่อสู้ทางอุดมการณ์ ที่แบ่งแยกผู้คนเป็นซ้าย เป็นขวา เป็นสังคมนิยม เป็นคอมมิวนิสต์ เป็น “เสรีประชาธิปไตย” นับเป็นความแตกแยกในฐานะ “สงครามกลางเมือง”ครั้งที่ 2 (ครั้งแรกคือเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช”) ที่บังเอิญจบลงได้เพราะความอ่อนด้อยของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และความร้าวลึกในโลกสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์ ระหว่างโซเวียตกับจีน และจีนกับเวียดนาม รวมทั้งการใช้ “การเมืองนำการทหาร” ตามนโยบาย 66/23 ของรัฐบาลที่นำเอา “คนป่าคืนเมือง” ได้สำเร็จ จนก่อเกิดเป็น วรรณกรรมบาดแผล อยู่พักใหญ่ ก่อนจะปรับตัวไปขึ้นเรือลำใหม่ที่เรียกว่า “ทุนนิยมโลกาภิวัฒน์”
เส้นทางประชาธิปไตยตั้งแต่การอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมามีแต่ความขรุขระแปลกแยก (“แปลกแยก” เป็นการถอดศัพท์มาจากคำว่า alienation ของผมเอง โดยนำเอาคำว่า “แปลกหน้า” และ “แตกแยก”มาสร้างเป็นคำใหม่) ประชาธิปไตยในความหมาย “อำนาจของประชาชน”ในบ้านเราไม่เคย “เต็มใบ”อย่างแท้จริง จิตวิญญาณประชาธิปไตยที่เป็นทั้ง “จิตสำนึก” และ “ค่านิยม” จึงแบ่งผู้คนออกเป็นส่วนๆ โดยกินตัวเองมาพร้อมกับคำว่า “ทุนนิยม” และ “อุตสาหกรรมนิยม” เริ่มต้นตั้งแต่การประกาศแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2503 ที่ทำให้ช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทมีมากขึ้น โดยคนชนบทอพยพเข้ามาสร้างความหวังในเมือง และทำให้เมืองขยายตัวกลายเป็นเมืองใหญ่ ก่อให้เกิด “ความแปลกแยกใหม่ๆ” ที่ผมเคยนำเอาชื่อเรื่องสั้นของวิทยากร เชียงกูลมาเรียกว่า “ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย” เรานึกเห็นภาพคลองแสนแสบที่มีน้ำใสสะอาดอากาศบริสุทธิ์ในแบบ “ไอ้ขวัญอีเรียม”จากเรื่อง แผลเก่า ของ “ไม้ เมืองเดิม” (2476) ไม่ออกต่อไปอีกแล้ว แต่กระนั้นก็เหมือนว่าเรายังได้ยินประโยคหนึ่งจากเรื่องสั้น บนผืนดินไทย ของ “อ.อุดากร” (2493) ดังก้องขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะท้อนภาพการเมืองไทยที่รวมศูนย์มากขึ้น และมีความแปลกแยกขัดแย้งทางความคิด (ประชาธิปไตย กึ่งประชาธิปไตย vs. เผด็จการ กึ่งเผด็จการ) มากขึ้น คำพูดประโยคดังกล่าวของ “อ.อุดากร” ที่ยังได้ยินซ้ำๆซากๆมาจนบัดนี้ ก็คือ
“เผชิญ, แผ่นดินไทยผืนนี้ฝากไว้ด้วย”
ไม่ว่าจะรับฝาก หรือไม่รับฝาก เราก็ต้องอยู่ด้วยกัน “บนแผ่นดินไทย”ผืนนี้ต่อไปจนกว่าดาวหางชนโลก!
“เพื่อนพ้องแห่งวันวาร” และ “เพื่อนพ้องแห่งวันนี้” ที่ปรากฏเป็นเรื่องสั้นสมัยใหม่ของเรานั้นมี “ใบหน้าอันหลากหลาย” ที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย บางยุคบางสมัยได้ถูกตัดต่อ ตัดตอน และหรือบางครั้งก็ติดหล่ม ติดขวาก (“ติดขวาก”มาจากชื่อเรื่องสั้นของ มนัส จรรยงค์) สิ่งที่หลายคนเคยคิดว่าได้ “เปลี่ยนผ่าน”มาแล้ว ปัจจุบันก็ยังแทบไม่ได้เปลี่ยนไปไหนมากนัก เป็นต้นเช่นเรามีการ “รัฐประหาร”โดยเฉลี่ย 8 ปีต่อ 1 ครั้ง และก็ไม่มีใครมั่นใจว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่เกิดซ้ำขึ้นอีกในอนาคต ภาวะของการ “ติดหล่ม” “ติดขวาก” ยังมีรูปธรรมปรากฏมาให้เห็นจนปัจจุบัน ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จะเปลี่ยนผ่านไปได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ รู้แต่ว่ายัง “ยักแย่ยักยัน” และ “ฝุ่นตลบ” กันอยู่ในปัจจุบัน คนแทนที่จะเป็น “คน”มากขึ้นในโลกสมัยใหม่ (หรือ “หลังสมัยใหม่”) ก็เห็นมีแต่ “เทวดา” และ “องค์อินทร์” มากขึ้นในแทบทุกระดับ 39 ปี ที่ผ่านมา “เพื่อนพ้องแห่งวันนี้” ของเราก็ยังเหมือนตกอยู่ในความขัดแย้งไม่ผิดแผกไปจาก “เพื่อนพ้องแห่งวันวาร” โดยมีภาวะของการติดหล่มติดขวากที่รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ศูนย์กลาง (หมายถึงกรุงเทพฯ-เมืองเทวดา) นอกนั้นยังติดหล่มติดขวากอยู่กับระบบข้าราชการ ทุนนิยมบริโภค ทุนนิยมโลกาภิวัตน์ และกระแส “ราชาชาตินิยม” (คำของ ธงชัย วนิจจะกุล) (32) และสิ่งดังกล่าวยังเป็นแก่นแกนหลักมาตั้งแต่เหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 แม้แต่ปัจจุบันก็ยังกลายเป็นกลไกคล้ายๆกันไปหมด ฝันสีทองในอุดมการณ์ “สังคมนิยม-คอมมิวนิสต์” บัดนี้ได้เปลี่ยนเรือลำใหม่มาเป็น “เฉดสี”ต่างๆของคำว่า “ทุน” โดยสิ้นเชิง
39 ปี ของเรื่องสั้นไทยนับจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา ถ้ามองว่า “จิตวิญญาณประชาธิปไตย” หมายถึงใบหน้าอันหลากหลายของผู้คน เรื่องสั้นไทยทั้ง “วันวาร” และ “วันนี้” ต่างก็มีใบหน้าทั้งที่เหมือนกัน ใกล้จะเหมือนกัน และต่างกันไปแล้วแต่ค่านิยมของผู้สร้าง เรามีเสรีภาพแต่ก็เป็นเสรีภาพที่เหมือนถูกกำกับโดย “ทุน” และ “ตลาด” กระแส “ราชาชาตินิยม” ทำให้ “คน”กลายเป็น “เทวดา”ในระดับต่างๆ เราเรียกตัวเองเป็น “พุทธ” แต่กลับนับถือ “ผี” โดยมีรูปธรรมมาตั้งแต่ “ศาลหลักเมือง” จนถึง “ศาลเจ้า” ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ “เฉดสี”ไหน หรือ “ทำการเมือง”ไว้ลาย = white lie กันแบบใด ความจริงที่ปรากฏนั้นมักจะมี “ความจริงลวง”ร่วมอยู่ด้วย ภาพรวมของเรื่องสั้นไทยในรอบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา นักเขียนเรื่องสั้นในบ้านเรา ดูเหมือน ยังตาม “ข่าวพาดหัว” (หมายถึง fact) ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันไม่ทัน แม้ฝีมือทางรูปแบบจะพัฒนาขึ้นมากเมื่อเทียบกับสมัย “เพื่อนพ้องแห่งวันวาร” แต่มันกลับค่อนข้างไปทางปริมาณมากกว่าคุณภาพ จนมีนักวิจารณ์ของฝรั่งคนหนึ่งกล่าวว่า “วรรณกรรมไทยสมัยใหม่ล้วนแต่อ่อนด้อยในการสร้างตัวละครเชิงจิตวิทยา.. การเขียนเป็นแนวฝันเฟื่องเกี่ยวกับคนร่ำรวย..นักเขียนไทยเกือบทั้งหมดทุ่มเทความตั้งใจอย่างมากให้กับบุคคลที่มีความสำคัญอย่างสูง(33) ดังนั้นถ้าใจกว้างให้สมกับคำว่า “จิตวิญญาณประชาธิปไตย“ เราก็ควรพิจารณาวรรณกรรมให้ครอบคลุมทั้งระดับล่างและระดับบน เช่น เสือใบ – เสือดำ ของ “ป.อินทรปาลิต” ก็มีเนื้อหาแอบซ่อนการต่อสู้ทางชนชั้น (“ปล้นคนรวยช่วยคนจน”) เอาไว้ไม่น้อย แต่กลุ่มวรรณกรรมในบ้านเราก็ไม่เห็นยกย่องให้ “ป.อินทรปาลิต”เป็นนักเขียน “เพื่อชีวิต” หรือแม้แต่ พล นิกร กิมหงวน ของผู้ประพันธ์คนเดียวกัน เช่นสามเกลอ เที่ยวรัฐธรรมนูญ (2482) แม้จะเป็นงานเขียนในเชิงอารมณ์ขัน แต่สามเกลอ เที่ยวรัฐธรรมนูญ ของ “ป.อินทรปาลิต” ก็เชิดชูจิตวิญญาณประชาธิปไตยให้เราเห็นทางอ้อม กล่าวคือได้กลิ่นอายของการยกย่อง “รัฐธรรมนูญ” (งานฉลอง ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าและสวนอัมพร เมื่อวันที่ 9 – 14 ธันวาคม พ .ศ.2482) ว่าเป็น “มิ่งขวัญของชาติ” และบางครั้ง “ไพร่”อย่างนายแห้ว โหระพา ยังแอบเข้าไปเขกหัวล้านของ “อำมาตย์”เช่นเจ้าคุณปัจจนึกได้อย่างมีอารมณ์ขัน หรือ เฒ่าโพล้ง เฒ่าเหมือน เฒ่าหนู เฒ่าไปล่ ตัวละครในเรื่องสั้นชุดเฒ่าของ มนัส จรรยงค์ แม้จะกินเหลี่ยมกินคมกันแบบไหน แต่ก็สามารถปรองดองกันได้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหล้า เรื่องแม่หม้าย หรือเรื่องการเมือง (เช่น สัมมนาในทุ่งกว้าง : สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ 24 เมษายน 2503) ชาวคณะเหมืองแร่ในเรื่องสั้นชุดของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ (เช่น น้ำกับน้ำใจ และ ศักดิ์ศรีของตาหมา ) ต่างก็แสดงภราดรภาพแบบบ้าน-บ้าน กันอย่างจริงใจ ไม่ต่างไปจาก “แจ้ง ใบตอง” ใน เสเพลบอยชาวไร่ ของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่อ่านแล้วเห็นจิตวิญญาณของชาวบ้านระดับล่างที่มีวุฒิภาวะแบบ “พุทธๆ ผีๆ” หรือย้อนกลับไปก่อนหน้า เรื่องสั้นเช่น ขอแรงหน่อยเถอะ ของ “ศรีบูรพา” (ปิยะมิตร : 2495) นอกจากจะเชิดชูว่าแรงงานมีความสำคัญแล้ว ยังสะท้อนจิตใจที่เห็นว่าการช่วยเหลือกันในยามเดือดร้อนมีความสำคัญยิ่งกว่า “เงิน” หรือเรื่องสั้น คนจน ของ “จำนง วงศ์ข้าหลวง” (เพลินจิตต์ : 2476) เธออยากทำหนังสือพิมพ์ ของ “องค์อภิรดี” (หนังสือเรื่องสั้น 1 นาทีทอง รวมพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2493 “องค์อภิรดี” นามปากกาของนักเขียนสตรีรุ่นบุกเบิกที่เหมือนถูกลืมไปแล้ว) ศรีดารากับสงครามโลกครั้งที่สอง ของ “เรียมเอง” (ปิยะมิตร 2494) เพชฌฆาตที่เส้นขนาน 38 ของ อิศรา อมันตกุล (สยามสมัย : 2494) อิสรภาพที่ลองเบียน ของ “คุณาวุฒิ” (ปิยมิตร : 2496) มันเป็นเพียงไอ้พิน ของ ทนง ศรัทธาทิพย์ (สยามสมัย : 2496) เจ้าขุนมูลนาย ของ ถวัลย์ วรดิลก (กะดึงทอง : 2497) คนดิน ของ รมย์ รติวัน (ปิยะมิตร : 2504) ครูลือผู้ซื่อสัตย์ ของ เจญ เจตนธรรม ( ผดุงศึกษา : 2505) ฯลฯ เหล่านี้คือเรื่องสั้นของเพื่อนพ้องแห่งวันวารที่แสดงจิตวิญญาณของมนุษย์ในหลากหลายใบหน้าทั้งสิ้น คนเล็กคนน้อยที่ซื่อตรงเหล่านี้ คือจิตวิญญาณพื้นฐานของคำว่า “ประชาธิปไตย” ไม่ใช่คนใหญ่คนโตที่ชอบพูดถึงความดีอย่างหน้าตาชื่นบาน แต่ทำความดีแบบปากว่าตาขยิบ วรรณกรรมที่สะท้อนจิตวิญญาณประชาธิปไตยทั้ง “วันวาร” และ “วันนี้” มีอยู่ในชีวิตสามัญทั้งทางตรงและทางอ้อม มิใช่มีอยู่เพียงแค่ “ท่าน” ทั้งหลายในรัฐสภา หรือนักศึกษาปัญญาชนคนชั้นสูง ดังที่ผมเคยเปรียบไว้ทำนองว่า “น้ำเน่าก็เพื่อชีวิต”ได้ ถ้าศิลปวรรณกรรมมีพลังปัญญา (คำของ เจตนา นาควัชระ) จริง ศิลปวรรณกรรมเหล่านั้นจะชี้ให้เห็น “มนุษย์”และ “ความเป็นมนุษย์” ไม่ใช่ชี้เพียง “การเมือง” เพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตน พลังในความหมายที่เท่าเทียมกันของผู้คนเหล่านี้ คือสิ่งที่ ปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “อำนาจอิสระ ซึ่งนายปรีดีเคยพูดถึงเรื่องนี้ที่โรงเรียนกฎหมายมาตั้งแต่ พ.ศ.2474 และ“อำนาจอิสระ” ดังกล่าวนั้นหมายถึงสิทธิเสรีภาพของราษฎร ซึ่งมีทั้งหมด 9 ประการ
1.อิสระในตัวบุคคล 2.อิสระในเคหะสถาน 3.อิสระในการทำมาหากิน 4.อิสระในทรัพย์สิน 5.อิสระในการเลือกถือศาสนา 6.อิสระในการสมาคม 7.อิสระในการแสดงความเห็น 8.อิสระในการศึกษา และ 9.อิสระในการร้องทุกข์(34)
อำนาจอิสระทั้ง 9 ประการนี้ ส่วนหนึ่งคือหลักการที่ปรากฏอยู่ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎรเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 และต่อมาได้บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2475 โดยสืบเนื่องมาจากประโยคที่ว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย”
เรื่องสั้นใดๆ ที่แสดง “อำนาจอิสระ”ของราษฎร [หรือที่โทมัส เพน เรียกว่า the Right of man] ได้อย่างมีพลังสร้างสรรค์ เรื่องสั้นนั้นๆย่อมมีจิตวิญญาณของมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณประชาธิปไตยก็คือ “วิถีแห่งราษฎร”ที่มีวิธีต่างๆกันไป และเราคงต้องมอง“ด้านกลับ”ของมันด้วยว่าราษฎรเหล่านั้นมี “อำนาจอิสระ” ในสังคมแบบ “พุทธๆ ผีๆ” แห่งนี้จริงหรือเปล่า หรือมันเป็นเพียง “รัฐนาฏกรรม” (คือคำของ นิธิ เอียวศรีวงศ์) ของผู้ปกครองที่จัดหามาแสดงตามฤดูกาล
เรื่องสั้นไทยในรอบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา ถ้าจะหาแหล่งข้อมูลให้เห็นมติทาง ประวัติศาสตร์สังคม-การเมือง เราต้องลงไปให้ถึง “เอกสารชั้นต้น”ให้ได้ การอ้างปี “รวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรก” คงจะไม่พอ เพราะต้องอ้างไปให้ถึง “ปีพิมพ์และแหล่งพิมพ์ครั้งแรก” ให้ได้ด้วย การจัดระบบวรรณมาลัย [anthology] จึงไม่ควรทำให้วรรณมาลัยเล่มนั้นเสียเปล่าในแบบ”อัดปลากระป๋อง” เพราะวรรณมาลัยที่แสดงประวัติศาสตร์สังคม-การเมืองอย่างเห็นภาพควรลงไปให้ถึงปีพิมพ์ครั้งแรกและแหล่งพิมพ์ครั้งแรกให้ได้ ไม่เช่นนั้นชิ้นงานที่ปรากฏจะเสียของเปล่า กล่าวคือผู้อ่านรุ่นหลังจะไม่ทราบความเป็นมาในแง่ “มิติเวลา” โดยเฉพาะ “มิติเวลา” ในเชิงสังคม-การเมือง เช่นเรื่องสั้น จับตาย ของ มนัส จรรยงค์ มี “มิติเวลา” ในการพิมพ์ครั้งแรกที่นิตยสาร สิลปิน รายเดือน ปีที่ 1 เล่มที่ 3 ประจำเดือนกันยายน 2485 เมื่อสามารถลงเวลาของปีพิมพ์ครั้งแรกได้ งานชิ้นนั้นๆจะแสดงให้ผู้ศึกษาและคนรุ่นหลังเห็นความหมายทางประวัติศาสตร์สังคม-การเมือง เช่น จับตาย คือเรื่องสั้นที่เกิดขึ้นในสมัย “รัฐนิยม” ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่รัฐบาลในสมัยนั้นได้ประกาศใช้ภาษาไทยแบบใหม่ หรือที่เรียกกันต่อมาว่า “อักขระวิบัติ” คำว่า สิลปิน ที่เป็นชื่อนิตยสาร ก็เขียนตามหลักภาษาแบบใหม่ของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ความสำคัญในแง่ “มิติเวลา” ก็คือทำให้เรารู้ว่าเรื่องสั้น จับตาย ของ มนัส จรรยงค์ ที่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2485 นั้น มีความหมายในเชิงประวัติวรรณกรรมว่าผ่านเวลามาแล้ว 70 ปี คือมีอายุมากกว่าผู้บรรยาย แต่ยังเป็นเรื่องสั้นที่มีเสียงเล่าอันทรงพลังมาก่อนเรื่องสั้นของ “เพื่อนพ้องแห่งวันนี้ ” หลายต่อหลายเรื่อง ตัวอย่าง “เสียของ” เห็นมีปรากฏอยู่ในวรรณมาลัยหลายต่อหลายเล่มที่สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยจัดพิมพ์ขึ้น เช่น เสาหินแห่งกาลเวลา ดาวส่องเมือง เรืองแสงดาว ลมหายใจของแผ่นดิน น้ำใสในสายธาร คือหญิงอย่างยิ่งนี้ และเมื่อเร็วๆนี้ก็คือวรรณมาลัยชุด 40 เรื่องสั้น 40 บทกวี 40 ปีสมาคมนักเขียนฯ รวมทั้งวรรณมาลัยของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ที่ชื่อ วรรณมาลัย รวมเรื่องสั้นไทยร่วมสมัย พ.ศ.2475 จาก 41 นักเขียนไทย แม้จะมีเจตนาดีในความพยายามที่จะศึกษาวรรณกรรมไทยสมัยใหม่ให้เป็นระบบ แต่ในแง่ “มิติเวลา”กลับมีหลายชิ้นงานที่ดูเหมือน “เสียของ” ไปเปล่าๆเพราะเรื่องสั้นที่นำมาเผยแพร่ใหม่จำนวนหนึ่งลงไปไม่ถึง “เวลา”ของแหล่งพิมพ์ครั้งแรก ดังนั้นทำให้จิตใต้สำนึกลงไปไม่ถึงชั้นของความเป็นมาครั้งแรก แม้บางเรื่องจะระบุปีของการรวมพิมพ์ครั้งแรกไว้ แต่ในทรรศนะของผมคิดว่ายังไม่พอ ยังเป็นการ “อัดปลากระป๋อง” ให้คนรุ่นหลังสับสนเรื่อง “เวลา” เรื่องสั้น “ร่วมสมัย”ที่ยังไม่ได้ “ล่วงสมัย”ไปไกล บางทีก็ยังสุกเอาเผากิน เช่นไม่ให้เครดิตของปีพิมพ์และแหล่งพิมพ์ครั้งแรก ขอแนะนำว่านักเขียนที่นำเรื่องสั้นต่างๆของตนไปให้สำนักพิมพ์รวมพิมพ์เป็นเล่ม ไม่ว่าจะรวมพิมพ์ครั้งแรกหรือครั้งต่อมา นักเขียนควรต้องนับถือ “ประวัติการพิมพ์ครั้งแรก”ของตนเองอย่างเคร่งครัด อย่าปล่อยให้สำนักพิมพ์ทำตามอำเภอใจแบบ “อัดปลากระป๋อง” เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ชิ้นงานต่างๆของท่าน ไม่ว่าจะมีคุณภาพแบบไหน การให้เครดิตปีพิมพ์และแหล่งพิมพ์ครั้งแรกจะช่วยเป็นกระจกส่องให้การศึกษาวิจัยของคนรุ่นหลังมี “ด้านลึก”มากขึ้นในแง่ประวัติศาสตร์สังคม-การเมือง ซึ่งเท่ากับเพิ่มคุณค่าให้แก่งานของท่าน เมื่อท่านได้ล่วงผ่านจาก “วันนี้”ไปเป็น “วันวาร” เรื่องสั้นไทยในรอบ 40-50 ปีที่ผ่านมา ผู้ศึกษาวิจัยควรต้อง “ลงเวลา” ปีพิมพ์และแหล่งพิมพ์ครั้งแรกให้ได้ และถ้าระบุที่มาของการรวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกไว้พร้อมกันด้วยก็จะดียิ่งขึ้น ความสำคัญในเชิง “มิติเวลา” นั้น ตามหลักสากลของการศึกษาวิจัย เขาให้ถือเอา “เวลาที่พิมพ์ครั้งแรก” เป็นจุดเริ่มต้นที่ชิ้นงานนั้นมีชีวิต
ดังนั้นการลงตัวอย่างของเรื่องสั้นไทยที่ผ่านมา เราจึงต้องดูเวลาไปให้ถึงปีพิมพ์และแหล่งพิมพ์ครั้งแรก มิใช่ปีของการรวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกอย่างเดียว เพราะนักเขียนบางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี กว่าจะมีเงื่อนไขนำชิ้นงานที่กระจัดกระจายเหล่านั้นมารวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรก นี่เป็นกฎเหล็กของการศึกษาวิจัยงานวรรณกรรมในภาพรวม เพื่อประโยชน์ในการ “ลัดเวลา”ให้คนรุ่นต่อไปได้เห็นมิติทางเวลาของตน เป็นต้นจากโจทย์ที่ให้มาก็หมายความว่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 ที่เกิด “เหตุการณ์ 14 ตุลา” จนถึงเวลาปัจจุบันที่ท่านกำลังนั่งอยู่ในห้องนี้ ท่านต้องลงไปให้ถึงปีพิมพ์และแหล่งพิมพ์ครั้งแรกของชิ้นงานนั้น เพื่อจะได้รู้ถึง “เวลา”ว่าสัมพันธ์กับ “สถานที่” และ “ตัวบุคคล”ทางประวัติศาสตร์อย่างไร แต่นี่เป็นการเรียกร้องเชิงอุดมคติเสียกระมัง เพราะในบ้านเรานั้น ใครจะรับรองว่าเรามีแหล่งกลางที่เก็บรวบรวม “สิ่งพิมพ์ต่างๆ” ตามวันเวลาที่ผ่านมาไว้อย่างครบถ้วนทุกยุคทุกสมัย “หอสมุดแห่งชาติ” และ “หอจดหมายเหตุแห่งชาติ” เช่นนั้นหรือ ผมไม่รับรอง เพราะสถาบัน “ระดับชาติ” ดังกล่าวก็ไม่แน่นักว่าจะให้ความสำคัญกับการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ และไม่มีอคติ บางยุคบางสมัยตกอยู่ในภาวะ “เลือกเก็บ” ตามกระแสของอำนาจรัฐ ฝ่ายขวายึดอำนาจ หนังสือที่ถือเป็นฝ่ายซ้ายแทบจะเป็นปฏิปักษ์กับระบบห้องสมุดในบ้านเราไปโดยปริยาย เช่นถูกทำให้หายไป หรือไม่ก็ถูกประกาศให้เป็น “หนังสือต้องห้าม ”ที่ “ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี” (ซึ่งในกรณีนี้รวมทั้งหนังสือของ “ฝ่ายโป๊”ด้วย) อย่างไรก็ตาม ก็ให้เห็นใจหน่วยงานเช่น “หอสมุดแห่งชาติ” ที่มีงบประมาณในการจัดซื้อหนังสือเพียงปีละ 1 ล้านบาท ตรงกันข้ามกับคำว่า เมืองหนังสือแห่งโลก ที่เอางบประมาณไป “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”อย่างได้ไม่คุ้มเสีย
แหล่งเอกสารชั้นต้นทางวรรณกรรมในขอบเขต 39 ปีที่ผ่านมา ต้องถือว่ามีจำนวนมากและหลากหลายใบหน้า แต่ท่านจะพบข้อมูลต่างๆเหล่านั้นอย่างเป็นระบบครบถ้วนหรือไม่ พระสยามเทวาธิราชเท่านั้นที่รู้ อาทิ วรรณกรรม “เล่มละบาท”(35) และหนังสืออนุสรณ์ “รายปี”ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่มีเรื่องสั้น บทกวีและบทความต่างๆตีพิมพ์ครั้งแรก และต่อมาก็เช่นวรรณกรรม “ในป่า” ซึ่งเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์และวิญญาณของ “ไอ้ลูกขบถ”ทั้งหลาย บรรดาสิ่งพิมพ์ “ในป่า” เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสะท้อน “จิตวิญญาณประชาธิปไตย”ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ต่อมาก็เป็นนิตยสารรายต่างๆ ทั้งในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เช่น ปิยะมิตร สายธาร สยามสมัย ศรีสัปดาห์ สตรีสาร สกุลไทย เดลิเมล์วันจันทร์ บากกอกรายสัปดาห์ สี่รสรายสัปดาห์ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ชาวกรุง คุณหญิง ช่อฟ้า ยานเกราะ วรรณกรรมเพื่อชีวิต ลอมฟาง สามยอด พระจันทร์เสี้ยว หนุ่มเหน้าสาวสวย เฟื่องนคร พาที บีอาร์ การะเกด ชีวิต ศูนย์ศึกษา ลลนา ชัยพฤกษ์ วิทยาสาร วิทยาสารปริทัศน์ ชัยพฤกษ์ฉบับนักศึกษา-ประชาชน เสียงเยาวชน เสียงสตรี ปุถุชน เอเชียรายสัปดาห์ มหาราษฎร์รายสัปดาห์ อักษรศาสตร์พิจารณ์ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฯลฯ และหรือในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สืบเนื่องมาจนถึงการรัฐประหาร 17 พฤษภาคม 2535 และ 19 กันยายน 2549 เช่น โลกหนังสือ ถนนหนังสือ บานไม่รู้โรย มติชนสุดสัปดาห์ เศรษฐกิจการเมือง Hi-Class ปริทัศน์ แมน หนุ่มสาว ชายชอบสนุก นีออน กะรัต อาณาจักรวรรณกรรม ฟ้าเมืองไทย ฟ้าเมืองทอง ดิฉัน ขวัญเรือน แพรวสุดสัปดาห์ เนชั่นสุดสัปดาห์ จุดประกายวรรณกรรม ช่อการะเกด สโมสรนักเขียนอีสาน Writer นาคร ฝังใจไฟฝัน ชายคาเรื่องสั้น พลเมืองเรื่องสั้น นิตยสารเรื่องสั้น [E-Book] ฯลฯ แหล่งพิมพ์เรื่องสั้นครั้งแรกเหล่านี้ล้วนมีมิติเวลาในประวัติวรรณกรรมไทยสมัยใหม่ (เช่นช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่นักศึกษาปัญญาชนพากันหนีตาย “เข้าป่า” แต่ในเมืองกลับกล่าวกันว่ายังมี “เรื่องสั้นเพื่อชีวิต” ตีพิมพ์ในนิตยสารนู้ดๆๆ เช่น แมน หนุ่มสาว ชายชอบสนุก นีออน ฯลฯ ก็ไม่ทราบว่าจะไปหาหนังสือที่เรียกว่า “โป๊”เหล่านี้ได้ครบถ้วนในหอสมุดแห่งชาติหรือไม่ บรรดาสิ่งพิมพ์ร่วมสมัยที่เป็นเหมือน “เพื่อนพ้องแห่งวันนี้” เหล่านี้ ถ้าเรามีแหล่งกลางที่จัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบครบถ้วน และไม่มีอคติ ตั้งแต่เรื่องการเมืองจนถึงเรื่องการโป๊ จิตวิญญาณแบบนี้แหละครับที่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของคำว่าจิตวิญญาณประชาธิปไตย ผมเองพยายามสะสม “มิติทางเวลา“ เหล่านี้ไว้ในโกดัง (บ้าน) บางส่วน แต่ “น้องน้ำ” ก็ได้มายืมไปแล้วมากกว่า 80 เปอร์เซ็น นัยว่าเพื่อต้องการร่วมฉลอง เมืองหนังสือแห่งโลก ที่มีงบประมาณเพื่อการนี้มากกว่า 1,000 ล้านบาท
วันเวลาที่ไม่ผ่านเลย
เรื่องสั้นไทยนับแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มาจนถึงเวลาปัจจุบัน มีข้อมูลจากเอกสารชั้นต้นนับหมื่นเรื่อง เอาเฉพาะใน โลกหนังสือ ถนนหนังสือ บานไม่รู้โรย ช่อการะเกด และ ช่อปาริชาต ก็มีนับ 1,000 เรื่องแล้ว จะเริ่มต้นตรงไหน อย่างไร จะเริ่มกันเป็นภาค [regional] จะเริ่มกันเป็นเพศ [gender] หรือจะเริ่มกันเป็นเรื่อง [subject] ก็มีข้อมูลให้ค้นหาในแง่มุมของ “ใบหน้าอันหลากหลาย” ตามยุคตามสมัยได้ทั้งนั้น เพื่อรวบรัดผมจะขอยกตัวอย่างเป็นแค่ “น้ำจิ้ม” ตาม มรส. (มาตรฐานรสนิยมส่วนตัว)ของผมเท่านั้น และจะขอ“กดขี่ทางเพศ” ตัดเรื่องสั้นของ “นักเขียนสตรี” ออกไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทั้ง “ใจรัก” หรือ “ใจภักดิ์” เพราะถ้ากล่าวถึง “นักเขียนสตรี”ในรอบ 39 ปี (พ.ศ.2516) ที่ผ่านมา ผมจำต้องมีเรื่องสั้นของนักเขียนสตรีที่ชื่อ “ศรีดาวเรือง”อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนักเขียนสตรี ป.4 ผู้นี้เป็นหนึ่งเดียวในประวัติวรรณกรรมไทยสมัยใหม่ ที่ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์กล่าวว่า “..เป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทยที่หากันได้ไม่บ่อยนักที่พาตัวเองขึ้นมาจากชนชั้นล่างได้สำเร็จ” (36) ดังนั้นจึงไม่ขอยกตัวอย่างนักเขียนสตรีผู้นี้ และนักเขียนสตรี “ร่วมสมัย”คนอื่นๆทั้งหมด เนื่องจากไม่มีเวลามากพอ บางทีคงต้องจัดทำเป็นวรรณมาลัย “นักเขียนสตรี” ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันจากเอกสารชั้นต้นต่างๆให้เป็นระบบต่างหากออกไป รวมทั้งเรื่องสั้นทั้งหมดที่ปรากฏใน ช่อการะเกด ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ คือ โลกหนังสือฉบับเรื่องสั้น :วันเวลาที่ผ่านเลย
(สำนักพิมพ์ดวงกมล : พฤษภาคม 2521) จนถึงฉบับสุดท้าย คือ ช่อการะเกด 55 (สำนักช่างวรรณกรรม : ธันวาคม 2553) ก็จะตัดบรรดา “ศิษย์เก่าช่อการะเกด”ทั้งบุรุษและสตรีออกไปทั้งหมดด้วย เพื่อป้องกันอาการ “รักน้องเสียดายน้อง” (37)
ผมขอยกตัวอย่าง “นักเขียนบุรุษ”บางคนที่ถูกมองข้าม หรือไม่ครั้งหนึ่งเคยถูกประเมินไว้ต่ำ ดังนี้
ศรีศักดิ์ นพรัตน์ : ผางซื้อหมวก
ผางซื้อหมวก พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร ชีวิต รายเดือน (กันยายน 2519) ศรี
ศักดิ์ นพรัตน์ หรือที่รู้จักกันในนามปากกา “หยอย บางขุนพรหม” เขาถนัดแนวเขียนแบบ “หัสคดี” [humor] แต่ก็เขียนเรื่องสั้นในลักษณะ “เพื่อชีวิต”ไว้ไม่น้อย ในช่วงก่อนและหลัง “เหตุการณ์ 14 ตุลา” เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหว “ต่อต้านฐานทัพอเมริกา”ที่โคราช เคยสมัคร สส.ในนามพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย และเคยถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ผางซื้อหมวก เป็นเรื่องสั้นง่ายๆแบบชั้นเดียว “ผาง” เป็นลูกชาวนาภาคอีสาน เข้ามาเป็นกรรมกรในโรงงานทอกระสอบ ค่าแรงของผางในปี พ.ศ.2519 ระบุว่าวันละ 12 – 15 บาท ผางเก็บเงินส่งให้ทางบ้านเป็นประจำ วันหนึ่งเมื่อค่าแรงออก เขาก็อยากซื้อหมวก “แบบที่อยากได้”สักใบ และก็ตัดสินใจซื้อหมวกใบนั้น หมวกใบนั้นราคา 43 บาท เท่ากับค่าแรง 4 วันของเขา “ผาง”ตัดสินใจซื้อและใส่ขึ้นไปนั่งบนหลังคารถเมล์เล็กที่คนแน่นมาก รถวิ่งเร็วจนลมปะทะหมวกของเขาหลุดไป “..ผางรู้สึกเย็นวูบที่หัว..เขาพุ่งตัวออกจากหลังคารถ คนละทางกับรถที่ลิ่วไปข้างหน้า..” เรื่องสั้นชั้นเดียวของศรีศักดิ์ นพรัตน์ เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนยังเห็นภาพ stopmotion ที่ “ผาง”ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พุ่งตัวจากหลังคารถไปคว้าหมวกราคาเท่ากับค่าแรง 4 วันของเขา ภาพของผางที่เหมือนถูก stop ไว้นั้น จากเวลานั้นจนเวลานี้ ผมเองไม่ทราบว่า “ผาง”มีจิตวิญญาณประชาธิปไตยแบบไหน ทราบแต่ว่าความแปลกแยกและความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าของผู้คนในสังคมนี้ยังดำรงอยู่ต่อมา ภาพของ “ผาง”ในจินตนาการยังคงลอยค้างอยู่อย่างนั้นจนบัดนี้ หมวก 1 ใบ มีค่าที่ต้องแลกด้วยชีวิตเช่นนั้นหรือ นี่เป็นประเทศ “ประชาธิปไตย”แบบไหนกัน แล้วประชาธิปไตยตลอดเวลา 80 ปีที่ผ่านมาล่ะ – ราคาเท่าไร ต้องแลกกับความไม่เท่าเทียมมาแล้วกี่ศพ วันเวลาผ่านร้อนผ่านฝนมาเกือบ 4 ทศวรรษแล้ว “คนแบบผาง”คงไม่ใช่ “คนแบบทักษิณ”แน่นอน เพราะ “คนแบบผาง”นั้นยังเป็นเหมือนภาพ stopmotion เช่นเดิม แม้ว่าค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 300 บาทแล้ว แต่หมวกของ “ผาง”ใบนั้นก็ยังลอยอยู่ในอากาศ
ศรีศักดิ์ นพรัตน์ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมานาน 3 ทศวรรษแล้ว และ
แวดวงก็เหมือนลืมเขาไปแล้วเช่นกัน
สายตะวัน : หมู่บ้าน
“สายตะวัน” เป็นนามปากกาหลัง “เหตุการณ์ 6 ตุลา” ของนักเขียนนิรนามจาก
“ในป่า”คนหนึ่ง เรื่องสั้นที่ชื่อ หมู่บ้าน ถูกส่งมาจาก “ป่า”อย่างไรก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่าพิมพ์ครั้งแรกใน โลกหนังสือฉบับเรื่องสั้น : วันเวลาที่ผ่านเลย เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2521 เหตุการณ์ “ในป่า”เวลานั้น เข้าใจว่ายังมีการปะทะกันดุเดือด เนื่องจากเรื่องสั้นชิ้นนี้ไม่ปรากฏนามของผู้แต่ง ผมจึงตั้งนามปากกาให้เขา โดยจัดไว้ในตระกูลใหม่ของผมที่ขึ้นต้นว่า สาย เป็นต้นเช่น สายวนา (อีกนามปากกาหนึ่งของ “ศรีดาวเรือง”) สายไท (นามปากกาของ อำนวยชัย ปฏิพัทธเผ่าพงษ์) สายสันติ (นามปากกาของ สุขสันต์ เหมือนนิรุทธิ์) และสำหรับเรื่อง หมู่บ้าน ผมตั้งนามปากกาให้เขาว่า สายตะวัน เนื้อหาของเรื่องสั้นเรื่องนี้กล่าวถึงหมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ทำการผลิตแบบพึ่งพาอาศัยกัน ต่อสู้ป้องกันภัยจากธรรมชาติและสัตว์ร้ายร่วมกัน เมื่อเวลาผ่านไป มีพระและมี “ถนน”เข้ามาในหมู่บ้าน ความเปลี่ยนแปลงต่างๆจึงเกิดขึ้น เริ่มต้นจาก “..มีผู้คนเข้ามาตั้งรกรากในหมู่บ้าน และบริเวณหุบเขาใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว จำนวนหลังคาบ้านเพิ่มนับแทบไม่ทัน..” มีรถลากซุงเข้ามา มีพ่อค้าเข้ามา มีผู้ใหญ่บ้านเข้ามา มีโรงเรียนเข้ามา แต่“..สภาพใหม่ที่เกิดขึ้น ก็คือคนพวกหนึ่งยากจนลง คนอีกพวกหนึ่งร่ำรวยขึ้น หลายคนเริ่มสูญเสียที่ดินไร่นาของตน” ในที่สุดชายชราแห่งหมู่บ้านคนนั้นจึงกล่าวว่า “..นี่คือความดับสลาย” และ “..วันเวลาแห่งภัยพิบัติก็มาถึง”
เรื่องสั้น หมู่บ้าน เป็นเรื่องสั้นแบบชั้นเดียว และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ใน “หมู่บ้าน”แห่งนี้ ปัจจุบันก็ยังเกิดขึ้นแบบเดียวกันในอีกหลายหมู่บ้าน แม้ว่าเรื่องสั้น ช่อการะเกด ในยุคต่อมาจะหลุดลอยออกจาก “หล่มเพื่อชีวิต”แบบเก่าได้สำเร็จ และพัฒนาเนื้อหาขึ้นมาเป็นแบบหลายชั้นในยุคต่อมา โดยฝีมือการเขียนที่เข้มข้นขึ้น เช่น โลกใบเล็กของซัลมาน ของ กนกพงศ์ สงสมพันธ์ (2533) แต่บริบทของเรื่องที่นำเสนอก็ยังเป็นแนวเดียวกันนั่นเอง เพียงแต่ว่า “ทุน”ที่เข้ามาในหมู่บ้านของกนกพงศ์นั้น มีความซับซ้อนและมีเล่ห์กลมากกว่า หมู่บ้าน ของ “สายตะวัน”
ต่อเมื่อ “ป่าแตก” ในปี พ.ศ.2523 ผมได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง เธอเข้ามาที่สำนักงาน โลกหนังสือ พร้อมกับแนะนำตัวเองว่า เรื่องสั้น หมู่บ้าน ที่ได้ลงพิมพ์ใน วันเวลาที่ผ่านเลย นั้นเธอเป็นผู้ส่งมาให้เอง และผู้เขียนเรื่อง หมู่บ้าน เป็นแฟนของเธอที่หลบหนี “เข้าป่า”ในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เธอมาบอกให้ผมทราบว่า “สายตะวัน”เป็นใคร และแจ้งข่าวร้ายให้ทราบในเวลาเดียวกันว่า เขาถูกซุ่มยิงเสียชีวิต “ในป่า”เมื่อปลายปี พ.ศ.2522
วิวัฒน์ รุจทิฆัมพร : จำเลยมนุษยธรรม
ในสังคมที่มีวุฒิภาวะเรื่องประชาธิปไตย ทุกคนอยู่ต่อหน้า “กฎหมาย”เท่าเทียม
กัน กฎหมายคือบริบทที่จะแสดงรูปธรรมของจิตวิญญาณว่าสังคมนั้นเป็นประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน กฎหมายก้าวหน้า หรือล้าหลัง กฎหมายเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม องค์ประกอบของกฎหมาย เช่น ศาล ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ นั้นเป็นอย่างไร น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่วงวรรณกรรมบ้านเรา แทบไม่มีบริบทในประเด็นเกี่ยวกับ “กฎหมาย” เอาเลย แม้นักเขียนในอดีตที่เรียนมาทางกฎหมายจะเขียนเรื่องสั้นว่าด้วยกฎหมายอยู่บ้าง เช่น อัศนี พลจันทร์ “อ.ไชยาคำ” (อดีตผู้พิพากษา จำนามจริงไม่ได้) “ศรี สารคาม” (นามปากกาของ ทองใบ ทองเปาด์) และในงานเขียนบางชิ้นของ ชวน หลีกภัย และทวีป วรดิลก แต่ในภาพรวมทั้งหมดของเรื่องสั้นไทยตลอดเวลา 80 ปีนับจากการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา เรามีเรื่องสั้นไทยที่แสดงบริบทเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายอยู่น้อยมากๆๆๆ แม้ว่าจะมีงานเขียนประเภทเรียกหาความยุติธรรมอยู่ไม่น้อย แต่ลีลาและบรรยากาศในรูปแบบที่หนังฝรั่งเรียกว่า courtroom drama ที่นำเอาประเด็นการต่อสู้ทางกฎหมายมาเป็นตัวนำเสนอนั้น แทบเรียกว่าไม่มีเอาเลย ซึ่งก็หมายความไปถึงว่า งานเขียนในรูปแบบที่เป็น “รหัสคดี” (คำของ เรืองเดช จันทรคีรี) หรือแนว “สืบสวน-สอบสวน” แทบจะไม่เติบโตและไม่มีปรากฏเอาด้วย แต่ก็มีเรื่องสั้นแนวเรียกหาความยุติธรรมที่ไม่ใช่ลักษณะ courtroom drama อยู่บ้าง เช่น ดวงจักษุของท่านผู้พิพากษา ของ “ดอกไม้สด” (ศรีสมเด็จ : 2477) ความยุติธรรม ของอัศนี พลจันทร์ (สยามสมัย : 2497) ความยุติธรรม ของ เจญ เจตนธรรม (สยามสมัย : 2499) ความยุติธรรมอยู่ที่นี่ ของ มนัส สัตยารักษ์ (ชาวสยาม : 2512) หรือที่มีบรรยากาศอยู่บ้างก็เช่นนิยายนักสืบของ “แชน เชิดพงษ์” (อีกนามปากกาหนึ่งของ “ช. แสงเพ็ญ” นามจริงคือ ชั้น แสงเพ็ญ ) และในนิยายเรื่อง ปีศาจ ของ “เสนีย์ เสาวพงศ์” ที่ “สาย สีมา”เป็นทนายความให้ชาวนาผู้ถูกไล่ที่ แต่เราก็ไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า courtroom drama ที่เป็นฉากการต่อสู้ในศาล นักเขียนที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็มีอยู่บ้าง เช่น ณรงค์ นิติจันทร์ แต่ที่เขียนออกมาเป็นเรื่องสั้นแนว courtroom drama ผมเข้าใจว่ามีอยู่คนเดียวเท่านั้น คือรวมเรื่องสั้นชุด ยอดทนาย (สำนักพิมพ์หนอน 2516) ยอดทนาย 2 (สำนักพิมพ์หนอน 2516) การต่อสู้ (สำนักพิมพ์หนอน 2518) และ ประชาธิปไตยฝืด (สำนักพิมพ์หนอน 2518) เรื่องสั้นที่ชื่อ จำเลยมนุษยธรรม และอีกหลายเรื่องที่ปรากฏในรวมเรื่องสั้นทั้ง 3 เล่มของเขานั้นมีลักษณะเป็นเรื่องสั้นแบบ courtroom drama ที่ไม่มีปรากฏมากนักในประวัติวรรณกรรมไทยสมัยใหม่ บางทีจิตวิญญาณประชาธิปไตยในสังคมบ้านเราคงเติบโตไปทางอื่นก็ได้ (เช่น “เรื่องผี” หรือเรื่องชิงรักหักสวาทประเภท “คนสามัญอย่างแกจะมาแต่งงานกับลูกชายฉันได้อย่างไร” แต่ความเข้มข้นของเนื้อหาเกี่ยวกับ “ตัวบทกฎหมาย” กลับมีงานเขียนในรูปแบบ fiction น้อยมาก (รวมทั้งที่เป็นละครโทรทัศน์ทั้งหลายด้วย) คงจะจริงที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า งานวรรณกรรมสมัยใหม่ของเรายังติด “หล่มน้ำเน่า” ไม่ผิดแผกไปจากเมื่อ 50 ปีก่อน จิตวิญญาณประชาธิปไตยในสังคมแบบ “พุทธๆผีๆ”แห่งนี้มักจะเหไปทางความคิดแบบไสยศาสตร์มากกว่าความคิดแบบวิทยาศาสตร์สังคม [social science] วาทกรรมการต่อสู้ว่าด้วย “เหตุผลทางกฎหมาย” (เช่นกรณี “คณะนิติราษฎร์” กับมาตรา 112) แทบไม่มีปรากฏให้เห็นในหมู่นักเขียน นักประพันธ์ไทยเอาเลย และสิ่งนี้เองที่ทำให้งานเขียนแนว “รหัสคดี”ของเราพลอยเหี่ยวเฉาไปด้วย เช่นเดียวกับงานเขียนแนว “ไซ-ไฟ” ที่เรียกว่า science fiction ก็แทบไม่เติบโตเอาเลย (ยกเว้นอยู่บ้างที่เป็น “ไซ-ไฟ” และ “ไซ-แฟนตาซี”ของ “ชัยคุปต์” นิรันศักดิ์ บุญจันทร์ โกศล กลมกล่อม สมภพ นิลกำแหง และ “รหัสคดี” ของ “สรจักร” และ วินทร์ เลียววาริณ) เรื่องสั้น จำเลยมนุษยธรรม ของ วิวัฒน์ รุจทิฆัมพร กล่าวถึงการต่อสู้ทางกฎหมายของทนายคนหนึ่งที่เข้าไปค้นหาความจริงเพื่อว่าความให้นักโทษคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าลูกของตนเอง เนื้อหาในลักษณะแบบนี้ และที่มีซับซ้อนในชีวิตจริงมากกว่านี้ (เช่นกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มีโทษสูงสุด 15 ปี ตามกฎหมายอาญามาตรา 112) ผมไม่ค่อยเห็นตัวอย่างปรากฏในเรื่องสั้นและนวนิยายของไทยปัจจุบัน ทำให้รู้สึกว่าชีวิตจริงนั้นยิ่งกว่านิยาย ที่กล่าวว่านักเขียนไทยตาม “ข่าวพาดหัว”ประจำวันไม่ทันนั้นคงน่าจะเป็นความจริง การไม่ปรากฏเนื้อหาในบริบท “การต่อสู้ทางกฎหมาย” หรือ courtroom drama นี่เองก็ได้ที่ทำให้เราไม่ค่อยเห็นรูปธรรมของคำว่า “จิตวิญญาณประชาธิปไตย”ในงานเรื่องสั้นไทยมากนัก และสำหรับนวนิยายของไทยนั้น อย่าไปหวังเลยว่าจะมีงานเขียนที่ “เร้าใจ”ในเนื้อหาแบบเดียวกับนวนิยายของจอห์น กริแชม หรือ To Kill a Mockingbird ของ ฮาร์เปอร์ ลี
ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ : ฝ่ายชนะ
ชื่อนี้เป็นนักเขียนเรื่องสั้นที่ได้รับการประเมินไว้ค่อนข้างต่ำเช่นเดียวกัน ทั้งที่
เขามีงานเขียนคุณภาพไม่ต่างไปจาก “ศิลปินแห่งชาติ” สาขาวรรณศิลป์ นักเขียน “รางวัลศรีบูรพา” และนักเขียน “รางวัลซีไรต์”หลายคน นอกจากงานเรื่องสั้นเขา
ยังมีงานบทกวี นวนิยาย บทละคร และความเรียง ในฐานะของคอลัมนิสต์อีกนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ความคิดรักความเป็นธรรมที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนมาฝักใฝ่ในศาสนธรรม ไม่ผิดไปจากกุหลาบ สายประดิษฐ์ ในช่วงกลางของชีวิต งานเขียนเรื่องสั้นของชัชรินทร์ใช้สายตา “แบบนักหนังสือพิมพ์” ซึ่งเขาเองเคยเป็นทั้งนักข่าวและผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน แม้ในบางครั้งจะถูกมองว่าภาษาเร่งรีบไม่เรียบลื่น แต่ก็ตรงนั้นเองที่เป็นความจริงจังและจริงใจมาตั้งแต่สมัยที่เขายังมีความคิดแบบ “ซ้ายๆ” เหมือนคนหนุ่มสาวแสวงหาในรุ่นก่อนและหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา กล่าวคือเชื่อมั่นในแนวความคิดแบบสังคมนิยม และความมี “ภราดรภาพ”ในเพื่อนมนุษย์
พญาโหงบนโลงแก้ว เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นและบทกวีที่รวมพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2518 เนื้อหาส่วนใหญ่สะท้อนปัญหาในครอบครัว “ชนชั้นกลาง” ที่มีปัญหาเรื่อง “จุดยืน”ทางการเมือง เรื่องสั้นสมัยแรกเช่น การต่อสู้กับเทวดา เขากล่าวถึงนักเขียนคนหนึ่งที่ติดคุกฐาน “ละเมิดอำนาจศาล” เพราะเขียนบทความไปลงหนังสือพิมพ์ ชัชรินทร์นำเสนอภาพในครอบครัว “ชนชั้นกลาง”อย่างขำขื่นและแสดงความขัดใจต่อระบบความยุติธรรมที่เขาอยาก “ฟันตราชูออกเป็นสองซีก” และกล่าวว่าผู้พิพากษาที่นั่งบัลลังก์อยู่นั้น “ไม่ใช่เทพเจ้า” หลายเรื่องสั้นในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา เขาแสดงความแปลกแยกของชีวิตเมืองไว้อย่างถึงที่สุด เช่นเรื่อง รถเมล์ ที่พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร มหาชน รายเดือน ปีที่ 1 ฉบับที่ 8 : ธันวาคม 2517 เป็นงานเขียนแบบเรื่องสั้น-สั้น ที่กระชับและส่งพลังทันที เล่าถึงหญิงสาวท้องแก่ที่คลอดลูกบนรถเมล์ แต่รถเมล์คนแน่นมาก เมื่อเด็กคลอดออกมาจากแม่ก็ถูก “ตีน”ของคนบนรถเมล์เหยียบตายทันที เรื่องสั้นส่วนใหญ่ของชัชรินทร์คลี่คลายประเด็นขัดแย้งออกมาตาม “ประสบการณ์ตรง” ของเขาเอง ทั้งในเรื่องวิชาชีพหนังสือพิมพ์ และเพื่อนพ้องในแวดวง เรื่องสั้นที่เข้มข้นในหลายยุคสมัยของเขา เช่น หมู่บ้านรถไฟ (ลลนา : สิงหาคม 2520) และ คนอ่านหนังสือ (ลลนา : มกราคม 2521) เรื่องสั้นทั้ง 2 นี้ ผมเคยส่งให้ ดร.เบนเนดิกท์ แอนเดอร์สัน แปลเป็นภาษาอังกฤษ (38) กล่าวได้ว่างานเขียนของชัชรินทร์ในภาพรวมมีจิตวิญญาณประชาธิปไตยแบบ “ปลายเปิด” แม้เขาจะแค้นเคืองในระบบ แต่เขาก็เป็นตัวของเขาเอง เช่นเรื่องสั้น ฝ่ายชนะ (ลลนา : 2532) ที่เขียนถึงเพื่อนบนโต๊ะพนัน เขาเขียนเหมือนนำเอาประวัติศาสตร์ของสังคมไทยยุคหลัง “ป่าแตก”มาแสดงจุดยืนของเพื่อนพ้องที่เปลี่ยนไป จะเรียกว่านี่คือตัวอย่างของ “วรรณกรรมบาดแผล”ที่เป็นรอยต่อของยุค “ป่าแตก”และ ยุคเศรษฐกิจ “ฟองสบู่”ในช่วงทศวรรษ 2530 ก็คงได้ เพื่อนพ้องพันธุ์ใหม่ที่ปรากฏในเรื่องสั้นเปรียบได้กับคนที่เลือกอยู่ข้าง “ฝ่ายชนะ” และบนโต๊ะพนัน มันไม่มีจิตวิญญาณอะไรทั้งนั้น นอกจากถ้อยคำเยาะเย้ยประเภท “ใครไม่ทันเป็นคนหลงทาง” อ่านแล้วทำให้นึกถึงเพื่อนพ้องที่กำลัง “ฝุ่นตลบ”กันอยู่ในปัจจุบัน
5. วิสา คัญทัพ : เรือลำใหม่
ไม่ว่าจะ “ทำการเมือง”แบบไหน นักเขียนนามนี้ปฏิเสธเขาไม่ได้ วิสา คัญทัพเขียนเรื่องสั้นไว้ไม่น้อย แต่ในวรรณมาลัย 2 เล่มของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (รวมเรื่องสั้นไทยสมัยหลัง พ.ศ.2475 จาก 41 นักเขียนไทย) และของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย (40 เรื่องสั้น 40 บทกวี 40 ปีสมาคมนักเขียนฯ) กลับไม่มีเรื่องสั้นของเขาปรากฏให้เห็น วิสาชอบกล่าวถึง “อารมณ์ทางชนชั้น” และมองความเป็นไปของสังคมแบบนักอุดมการณ์ ไม่ผิดแผกไปจากนักเขียนเรื่องสั้น “เพื่อชีวิต”ในรุ่นทศวรรษ 2490 ที่มีความเป็นกลไกสูง จากเรื่องสั้น งานชุมนุมของคนบ้า ที่ปรากฏครั้งแรกในรวมเรื่องสั้นและบทกวีชุด เราจะฝ่าข้ามไป (2515) จนถึง เรือลำใหม่ ที่เป็นเรื่องสั้น “ในป่า” (ไม่ทราบแหล่งที่มาชั้นต้น แต่นำมารวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งที่ 2 ใน เรือลำใหม่ สำนักพิมพ์นกฮูก 2523) วิสาแสดงเส้นทางอันขรุขระของเขาที่ได้พบเจอมาบนถนนประชาธิปไตย จากความคิดแบบเสรีจนถึงความคิดแบบรวบยอด เรือลำใหม่ ของวิสาในปี พ.ศ.2523 มีชื่อว่า “เรือรบรวี” ซึ่งเขากล่าวในครั้งนั้นว่า “..มั่นคงแข็งแรง มีสมรรถภาพสู้รบในระดับที่แน่นอน ที่สำคัญมีนำร่องและกัปตันที่จัดเจนการเดินเรือ ผิดกับเรือแคนูลำเดิมที่อ่อนเยาว์เบาบาง ปล่อยให้เคว้งคว้างสุดแท้แต่จะลอยไปไหน” เมื่อเรือแคนูของเขาพบกับพายุทะเลบ้า เขากับเพื่อนพ้องที่คุ้นเคยกันในวาระนั้นจึงยอมรับ “..มือของชาวชนผู้ชูธรรม” ที่นำเขาขึ้นจากทะเลบ้า และทำให้ชีวิตใหม่ของเขา “..ถูกชูชุบขึ้นจากความปวดร้าวและคาวแค้น” วิสาได้พบเพื่อนเก่าที่หนีตายมาอยู่กับ “เรือรบรวี”หลายคน อาทิ “พระเจ้าหัวฟู” หรือ “พลเพลง พันตา” (คงจะหมายถึง สุรชัย จันทิมาธร) “ซาตานท้วม” (คงจะหมายถึง วีระศักดิ์ สุนทรศรี) “ภราดรผาแดง” (คงจะหมายถึง ล้วน เขจรศาสตร์) “นายมะขาม สนามหลวง” (คงจะหมายถึง ประเสริฐ จันดำ) และยังมีเพื่อนพ้องอีกหลายคนบน “เรือรบรวี”นั้น เช่น “ฆ.ระฆังคนยาก” (คงจะเป็น มงคล อุทก) และ “ทอนยา แดงสด” (ไม่แน่ใจว่าหมายถึงใคร ) เมื่อได้ขึ้นเรือลำใหม่แล้ว วิสาก็หวนไปทบทวนถึงเพื่อนพ้องที่กระจัดกระจายหายไป เช่น “สมมุติเทพจากบ้านสมเด็จ” (คงจะหมายถึง วินัย อุกฤษณ์) และ “มนุษย์จินตนาการหมายเลขหนึ่ง” (คงจะหมายถึง สุวัฒน์ –ทรนง ศรีเชื้อ) ฯลฯ จินตนาการในเชิงสัญลักษณ์ของ เรือรบรวี ที่วิสา คัญทัพบรรยายไว้ในเรื่องสั้น “รำลึกถึงเพื่อน” ทั้งรุ่นก่อนและหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาชิ้นนี้ เขาคงจะมีอารมณ์หมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั่นเอง วันเวลาผ่านเลยไม่ถึงร้อยปี จากเรื่องสั้น เรือลำใหม่ เมื่อ พ .ศ.2523 วิสาก็ยังเป็นวิสาที่มีรสชาติเหมือนเดิม แต่ “เรือลำใหม่ที่ใหม่กว่า” ของเขานั้นไม่มีคนชื่อ “พระเจ้าหัวฟู” หรือ “พลเพลง พันตา” อนิจจา..บนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณดวงนี้ โลกรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ ถ้า อ่านเรื่องสั้นของวิสา คัญทัพเรื่องนี้จบแล้ว ขอแนะนำให้อ่านเปรียบเทียบกับเรื่องสั้น เรือลำใหม่ ของ ชมัยภร แสงกระจ่างด้วย เรือลำใหม่ของชมัยภรลำนี้ไม่ทราบปีที่มาและแหล่งที่มาครั้งแรกของเอกสารชั้นต้น แต่จะหาอ่านได้ในวรรณมาลัยชุด ดาวส่องเมือง ของสมาคมนักเขียนฯ เมื่อ พ.ศ.2541 เรือลำใหม่ที่ชมัยภรเปลี่ยนมาได้ด้วยความปีตินั้น ก็มาจากเหตุที่เรือลำเก่าที่นั่งไปทำงานนั้นเกิดมี “รูรั่ว”ขึ้นมากะทันหัน ใครจะไปนั่งอยู่ในเรือที่กำลังจะล่ม ตรงข้ามกับ “เรือลำใหม่ที่ใหม่กว่า”ของวิสา คัญทัพ ในปัจจุบันที่เขาคิดว่าคงจะมั่นคงแข็งแรงมากกว่า “เรือรบรวี”ในอดีต แต่เรื่องนี้เพื่อนของเขาที่ชื่อ “พลเพลง พันตา”อาจไม่เห็นด้วยก็ได้ ความหลากหลายแบบนี้แหละครับ คือจิตวิญญาณประชาธิปไตย และโลกทัศน์แบบนี้ก็ไม่ใช่ “สลิ่ม” ด้วย
6. ประเสริฐ จันดำ : ลงจากภู
น่าเสียดายที่ประเสริฐ จันดำลาจากเพื่อนพ้องไปก่อนวัยอันควร เขาเองก็เคยอยู่บน “เรือรบรวี”มาพร้อมกับวิสา คัญทัพ และเพื่อนพ้องอีกหลายคน ประเสริฐ จันดำในวัยหนุ่มเป็นเหมือนภาพแทนของ “ตัวตน”ที่หลากหลาย แม้หลายคนจะคิดว่าเขาขี้เมา แต่ “..เหล้าดีก็เมาดีนะ เฒ่าโพล้ง” ประเสริฐเขียนหนังสือได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่เรื่องผี (นามปากกา “ดอน ไผ่งาม”) จนถึงเรื่อง “สู้รบ” ในหลายนามปากกา ถ้าอ้างถึงวิสา คัญทัพ วัฒน์ วรรลยางกูล สมคิด สิงสง อุดร ทองน้อย “ยงค์ ยโสธร” “คมทวน คันธนู” “รวี โดมพระจันทร์” “พนม นันทพฤกษ์” “ศิลา โคมฉาย” อัศศิริ ธรรมโชติ ฯลฯ เราต้องไม่ลืมนึกถึงประเสริฐ จันดำด้วย แต่แล้วประเสริฐดูเหมือนถูกประเมินไว้ต่ำ วรรณมาลัยที่คัดสรรเรื่องสั้นไทยในรอบ 80 ปี และ 40 ปี ก็ปรากฏว่าไม่มีเรื่องสั้นและบทกวีของประเสริฐ จันดำรวมอยู่ด้วย ทั้งที่เขามีงานเขียนความหลากหลายตั้งแต่หนังสือระดับล่างและหนังสือระดับบน ประเสริฐดำรงความเป็นศิลปินที่อยู่ “นอกระบบ”ตลอดชีวิต งานเขียนของเขาเป็นงานง่ายๆ “ชั้นเดียว” และไม่มี “กลไกการเมือง”ที่ซับซ้อน ทั้งที่เขาปวารณาตัวเองให้กับ “คนชั้นล่าง” เมื่อพูดถึงควาย เขาก็หมายถึงควายจริงๆ ไม่ใช่หมายถึง ควายแดง ควายเหลือง หรือ “ควายเผือก” ประเสริฐ จันดำเป็นทั้ง “คนนอก” และ “คนนอกคอก” เขาแต่งบทกวีได้ เขียนเรื่องสั้นได้ แต่จะให้เขาเป็นนักรบในเสื้อสีใด ผมก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าเขาจะ “ทน”ได้แค่ไหน ประเสริฐเป็น “ต้นหญ้าแห่งความคิดอิสระ เขาทดลองใช้ชีวิตตั้งแต่ลงไปอยู่ใน “เรือรบรวี” จนต่อมาฝักใฝ่เข้าเป็นสาวกผู้ศรัทธาใน “พระผู้เป็นเจ้า” แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกเป็น “คนนอก”ที่ล้มเหลวมาตลอด เขาเป็นหนึ่งในสองของ “พระจันทร์เสี้ยว”ที่ผมผูกใจในความเรียบง่าย ประเสริฐ จันดำ คือคนแรก และตั๊ก วงศ์รัฐฯ คือคนหลัง ความหลากหลายอันเป็น “วัฒนธรรมดา” (คำของ สุจิตต์ วงษ์เทศ) ที่หลายคนเห็นว่า เขาคือไอ้ขี้แพ้ – the loser นั่นกระมังที่ทำให้ผมยังรำลึกถึงเขาเสมอ และเรื่องสั้นที่เป็นตัวแทนของ “วรรณกรรมบาดแผล” ที่ดีที่สุดของเขาก็คือเรื่อง ลงจากภู (เขียน พ.ศ.2522 พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือรวมเรื่องสั้นและบทกวี แดนดินดาลเดือด สำนักพิมพ์นกฮูก พ.ศ.2525) เนื้อหาชั้นเดียวของเรื่องสั้น ลงจากภู ให้ความสะเทือนใจตรงที่ “เขา” (สหายผอง) เดินข้ามคืน คืนแล้วคืนเล่า ผ่านการซุ่มโจมตีของศัตรู เขาลาจาก “เรือรบรวี” ละทิ้งเครื่องแบบ “ทหารป่า” และยอมรับความพ่ายแพ้เพราะคิดถึงบ้าน และคิดถึงพ่อกับแม่ “.. ที่มีหนี้สินตกค้าง..เนื่องจากไปกู้เงินมาไถ่ตัวเขาออกจากกรงขัง ข้อหาที่ทางการตั้งว่าส่งเสบียงให้พวกในป่า” เนื่องจากเขา “..ถูกจับไปขังที่โรงพักอำเภอ” และ “ทางตำรวจเรียกเอาเงินห้าพันบาท..” แต่เมื่อเขาลอบกลับมาบ้าน พ่อของเขาก็แปลกใจ พูดเสียงปกติว่า “มีธุระอันหยัง กลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ ไม่เห็นบอกพ่อมาล่วงหน้า..” ลูกชายจึงตอบให้พ่อกับแม่ที่อยู่ตรงหน้าฟังว่า “ พ่อ ข้อยออกจากป่าละ อยากมาอยู่บ้านเฮา” ทุกอย่างน่าจะจบลงอย่างปีติ แต่พ่อกลับพูดว่า “เป็นหยังจึงออก มันทุกข์ยากหยังแท้อยู่ในป่า ปืนก็มีอยู่ในมือแท้ๆ หรือว่าผ่านตาย (กลัวตาย)” ประโยคดังกล่าวเหมือนของมีคมมาแทงความรู้สึกของผอง เขา พยายามอธิบายให้พ่อฟัง แต่พ่อของเขากลับตัดบทว่า
“ให้มึงบวช มึงก็ขอสึก ให้มึงปฏิวัติมึงก็ยังเป็นอย่างนี้อีก ช่างบ่เอาถ่านแท้ๆ..ถ้ามึงเห็นว่าอยู่บ้านดีกว่าอยู่ป่าให้มึงอยู่เอา ทำนาใช้หนี้เขาที่ยืมไถ่ตัวมึงจากคอก หรือไม่อย่างนั้นจะไปตายที่ไหนก็ไป..”
ลูกชายที่ชื่อ “ผอง” ไม่ต่อคำของพ่อ “..จะว่าอย่างไรก็ช่าง ไหนๆเขาก็ลงจากภูมาแล้วนี่นา พูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร พ่อกับเขามันคนละคนกัน จะให้มาคิดอ่านเหมือนกันได้อย่างไร”
ประเสริฐ จันดำ จบประโยคเรื่องสั้น ลงจากภู ไว้เช่นนั้น และตรงที่เขาเขียนว่า “..จะให้มาคิดอ่านเหมือนกันได้อย่างไร” นี่แหละที่ผมคิดว่าคือพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณประชาธิปไตย
แดนดินที่ดาลเดือด ของประเสริฐ จันดำ ยังเห็นปรากฏต่อมาให้ “เดือดดาล”อีกหลายแบบ ไม่ว่าจะมีเรือชื่อ “รบรวี” หรือในชื่อใหม่อื่นใดก็ตาม ประเสริฐก็คือประเสริฐ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ บางทีเขาอาจถูกเพื่อนพ้องประณามว่าเป็น “โรคประจำศตวรรษ”ก็เป็นได้
7.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล : พลเมืองดี
ไม่ว่าเสกสรรค์จะมีบทบาทผ่านมาแบบไหน เหนือสิ่งอื่นใด จิตวิญญาณของเขาคือจิตวิญญาณของศิลปิน การประเมินค่าในงานเขียนของเสกสรรค์ อ.รื่นฤทัยได้ทำไว้อย่างดีแล้ว โดยเฉพาะในแง่การใช้ภาษาของเขาที่ใช้คำเท่ากับความ และความเท่ากับคำ เสกสรรค์มีความคิดที่คมคาย คือมีทั้ง ‘คม’และ ‘คาย’ ไปพร้อมกัน สิ่งที่ปรากฏในงานเขียนของเสกสรรค์คือการนำเอาประสบการณ์ ซึ่งเป็น the real thing ของตนมาใช้อย่างซื่อสัตย์ และใช้ภาษาเป็นตัวนำเข้าสู่หัวใจแห่งความเป็นอิสรชน งานเขียนในรูปแบบประสบการณ์ของเสกสรรค์ สะท้อนความคิดของเขาที่มีต่อโลกและชีวิต เมื่อแพ้ก็แพ้ ไม่มีการฟูมฟาย อ่านประสบการณ์ของเขาเหมือนอ่านบทบันทึกทางจิตวิญญาณ และเป็นจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญกับ “มนุษย์” และ “ความเป็นมนุษย์”ไปพร้อมกัน ฤดูกาล เป็นงานรวมเรื่องสั้นและบทกวีที่เขาเขียนขึ้นขณะอยู่ “ในป่า” และเป็น “ของรักของหวง”ของเขาที่นำติดตัวออกมาได้อย่างเดียวเมื่อเข้ามอบตัวในฐานะ “ผู้แพ้สงคราม” ฤดูกาล เป็นงานเรื่องสั้นและบทกวีเล่มแรกที่สำนักพิมพ์ดวงกมลพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2524 หนังสือเล่มนี้เขาอุทิศให้ “แม่”ที่เสียชีวิตขณะเมื่อเขายังอยู่ “ในป่า” การนำเสนอเรื่องสั้นของเสกสรรค์แม้จะมีลักษณะแบบเรื่องสั้น-สั้นในระยะแรก แต่หลายเรื่องที่ปรากฏใน ฤดูกาล และอีกหลายชิ้นงานในช่วงทศวรรษต่อมา คือการถ่ายทอดความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ใช่ “นักปฏิวัติ”ในความหมายของนักต่อสู้ทางอุดมการณ์อีกต่อไป แต่เขาก็มีจิตสำนึกของผู้รักความเป็นธรรม และรู้เท่าทันเล่ห์กลของ “ปัจจุบันขณะ” และที่กล่าวถึงเสกสรรค์ ณ ที่นี้ก็เพื่อนำเรื่องสั้นในชื่อ พลเมืองดี ที่เขาเขียนไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2522 มาเทียบกับเรื่องสั้นไทยในอดีตอีก 2 เรื่อง ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า พลเมืองดี เหมือนกัน เรื่องสั้นเรื่องแรก คือ พลเมืองดี ของ “ดอกไม้สด” พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร เอกชน รายเดือนเมื่อ พ.ศ.2490 และเรื่องสั้นเรื่องที่ 2 คือ พลเมืองดี ของ “ลาว คำหอม” (นามปากกาของ คำสิงห์ ศรีนอก) พิมพ์ครั้งแรกใน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ เมื่อเดือนมีนาคม 2514 คำว่า “พลเมืองดี”ในเรื่องสั้นทั้ง 3 ที่มี “มิติเวลา”ต่างกันนี้ ล้วนเสนอให้เห็นค่านิยมของราษฎรในระบอบประชาธิปไตยที่เปลี่ยนไป เริ่มต้นจาก พลเมืองดี ของ “ดอกไม้สด” กล่าวถึงการตกลงกันเองระหว่างเจ้าของวัวกับโจรเรียกค่าไถ่วัว โดยไม่รอพึ่งกฎหมายบ้านเมือง ผู้ทำหน้าที่เป็น “พลเมืองดี”นำเรื่องไปแจ้งอำเภอจึงกลายเป็นพลเมืองดีที่ “เสือก”ไม่เข้าเรื่อง ส่วนเรื่อง พลเมืองดี ของ “ลาว คำหอม” กล่าวถึง “คุณลุง”ชาวไร่ข้าวโพดคนหนึ่ง ที่ไปแจ้งเจ้าหน้าที่อำเภอให้ช่วยจับ “นายทุน”ที่ส่งมือปืนมาลอบยิง เพราะต้องการฮุบที่ดินของตน “..ท่านช่วยผมด้วยนะครับ ผมไม่เคยเบียดเบียนใคร ผมเป็นพลเมืองดี” คุณลุงกล่าว เจ้าหน้าที่จึงยกคณะไปตรวจดูที่เกิดเหตุ และตอนขากลับได้แวะที่ “ร้านอาหารที่ดี (แพง)ที่สุดของอำเภอ” ความสำราญในการดื่มกินของเจ้าหน้าที่รัฐ ณ ร้านอาหารครั้งนี้ “..เปลืองเวลาพอๆกับใช้ในการเดินทางทั้งไปและกลับรวมกัน” และเมื่อทุกคนดื่มกินกันจนอิ่มหนำแล้ว “ท่านผู้ใหญ่”คนหนึ่งในกลุ่มก็ “..ค่อยๆเอี้ยวตัวชำเลืองหาคุณลุง ซึ่งนั่งจ๋องอยู่กับภรรยาที่โต๊ะห่างออกไป..” พร้อมกับเอ่ย “ปิยโวหารสองสามประโยค” ทำให้คุณลุงชาวไร่ข้าวโพดผู้ไม่เคยเบียดเบียนใคร “..ต้องพยุงกายลุกขึ้นทำหน้าที่ของพลเมืองดีอีกครั้งหนึ่งด้วยการควักธนบัตรใบแดงๆออกจ่ายเป็นค่าสุราอาหารมื้อนั้น”
สำหรับ พลเมืองดี ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่เขียนห่างจาก พลเมืองดี ของ “ดอกไม้สด” 32 ปี และห่างจาก พลเมืองดี ของ “ลาว คำหอม” 8 ปี คำว่า “พลเมืองดี”ที่เป็นตัวละครของเสกสรรค์มีความเป็นสีเทาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ขาวจัดดำจัดเหมือนเช่นบริบทของเรื่องสั้น 2 เรื่องที่เขียนมาก่อนหน้า คือเสกสรรค์ตั้งคำถามว่า การทำความดีคืออะไร ขอทานคนหนึ่งช่วยจับคนร้ายที่วิ่งราวสายสร้อยของหญิงวัยกลางคนท่าทางร่ำรวยคนหนึ่ง นางใส่สายสร้อยเส้นโตมาทำบุญที่วัดใหญ่โตและมีชื่อเสียงว่าเป็นวัด “พุทธพาณิชย์”ที่สำคัญของประเทศ คนร้ายที่วิ่งราวนั้นต้องการจะเอาสายสร้อยไปหาเงินรักษาแม่ที่กำลังเจ็บ เมื่อขอทานที่ทำตัวเป็น “พลเมืองดี” ช่วยจับคนร้ายได้ หญิงเจ้าของสร้อยผู้นั้นก็เพียงโยนเศษเงินเหรียญให้ขอทานผู้นั้น แต่ก็แสดงท่าทีรังเกียจที่ขอทานผู้นั้นเป็นโรคเรื้อน นางด่าทอคนร้ายที่ถูก “พลเมืองดี”ช่วยจับว่าเป็นโจรใจบาป ส่วนขอทานที่ทำหน้าที่เป็นพลเมืองดีก็มารู้ภายหลังว่า แม่ของคนร้ายนักวิ่งราวคนนั้นคือแม่ค้าขายข้าวแกงที่เคย “ให้ข้าวแกง”เขากินหลายครั้ง ขอทานรู้สึกเสียใจ และนึกสงสัยว่าสิ่งที่เขาเป็น “พลเมืองดี” มันกลับทำร้ายผู้ที่เมตตาให้ข้าวแกงเขากิน เขารู้สึกสับสนว่าเขาเป็น “พลเมืองดี” จริงๆหรือ หรือเขาเป็นใครกันแน่ แม้แต่นักวิ่งราวลูกแม่ค้าขายข้าวแกงคนนั้นยังเยาะเย้ยเขาด้วยซ้ำว่า “..นึกหรือว่าคนเขาจะนับมึงเป็นพลเมืองด้วย” นี่คือความดีสีเทาในยุคปัจจุบันที่สังคมเต็มไปด้วยภาพของ “คนดี” ท่านลองเปรียบเทียบคำว่า “พลเมืองดี”ในระบอบประชาธิปไตยของนักเขียนไทยทั้ง 3 คนกันเอาเอง
นักเขียน “ฝ่ายบุรุษ”ที่ยกมาเป็น “น้ำจิ้ม”เหล่านี้เป็นเพียงหยิบเดียวของภาพสะท้อนบางอย่างที่ยังมีเพื่อนร่วมเส้นทางในวันเวลาดังกล่าวอีกนับร้อย และยังไม่นับนักเขียน “ฝ่ายสตรี” ที่มีจำนวนใกล้เคียงไม่แพ้กัน (ไม่ใช่อัตราหญิง 1 ต่อชาย 7 แบบวรรณมาลัยของสมาคมนักเขียนฯ และกระทรวงวัฒนธรรม) ไม่ว่านักเขียน “ฝ่ายบุรุษ”หรือนักเขียน “ฝ่ายสตรี” เราสามารถนำมาพินิจพิเคราะห์ในประเด็น “จิตวิญญาณประชาธิปไตย”ได้เท่าเทียมกัน และ “จิตวิญญาณประชาธิปไตย”ของผมนั้นไม่ได้หมายแคบเพียงคำว่าวรรณกรรมการเมือง เหมือนที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสมาคมนักเขียนฯเรียกว่า วรรณกรรมการเมือง พานแว่นฟ้า (39) กล่าวคือวรรณกรรมในทุกรูปแบบเนื้อหาไม่ว่าอยู่ใน “ยี่ห้อ”ใด ผมคิดว่าเราสามารถให้ความหมายทางการเมืองได้ทั้งนั้น การที่ พานแว่นฟ้า มีวัตถุประสงค์ว่า “เพื่อสืบสานสร้างสรรค์ วรรณกรรมการเมือง ให้มีส่วนปลุกจิตสำนึกประชาธิปไตย” หมายความว่าถ้าไม่เรียกว่า “วรรณกรรมการเมือง” แล้วก็จะไม่ปลุก “จิตสำนึกประชาธิปไตย” เช่นนั้นหรือ และเมื่อมองดูจากภาพรวมของเรื่องสั้นการเมือง “พานแว่นฟ้า” ที่ประกาศผล “ชนะเลิศ”และ “รองชนะเลิศ”ผ่านมา 4 ครั้ง ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีบริบทที่แตกต่างไปจาก “เรื่องสั้นร่วมสมัย” โดยทั่วไป ทำไมต้องเอาคำว่า การเมือง มาผูกติดให้น่ารำคาญ นอกจากนั้น วัตถุประสงค์ที่บอกว่า “เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพทางการเมือง..” ก็มีตัวอย่างที่ย้อนแย้งให้เห็น เช่นกรณีเรื่องสั้น พญาอินทรี ของ จรัญ ยั่งยืน (40) ที่ไปเขียนถึงอำนาจฉ้อฉลของ “นักการเมืองไทย” จนเกิดเป็นอคติทำให้พลาดรางวัล (ทั้งที่เรื่อง พญาอินทรี เป็นเรื่องสั้นที่ธรรมดามากในมาตรฐานแบบ ช่อการะเกด ) เรื่องสั้นการเมือง พานแว่นฟ้า ถ้าจะ “..ส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพทางการเมือง..”แล้วไซร้ มันต้อง “ปลายเปิด”ให้ผู้สร้างเขาก้าวไปก่อน 1 ก้าว ไม่ใช่ไปจำกัดด้วยคำว่า การเมือง ไว้ล่วงหน้า “จิตวิญญาณประชาธิปไตย” เป็นจิตวิญญาณที่ “อิสระ”เพื่อสร้างให้ประชาธิปไตยมีภูมิคุ้มกันในตัวมันเอง ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าของตนเท่านั้นเป็นของแท้ ส่วนที่ต่างออกไป – ไม่ใช่ !
ผมอยากขอใช้ความเห็นบางตอนของ ธงชัย วินิจจะกุล ที่กล่าวไว้ในปาฐกถาเรื่อง ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา (ปาฐกถา 14 ตุลาประจำปี 2548) มาปิดท้าย
“..ประชาธิปไตยคือวิถีทางยั่งยืนเพื่อให้ประชาชนปะทะขัดแย้งกันอย่างสันติ ให้สังคมปรับตัวท่ามกลางสภาวการณ์ใหม่ๆ ด้วยการยอมให้ความแตกต่างหลากหลายดำรงอยู่ร่วมกัน แล้วค่อยๆตัดสินใจเลือกทางเดินที่คนส่วนใหญ่พอใจ โดยไม่ต้องทำลายทางเลือกอื่นๆ
“ประชาธิปไตยมิใช่หมายถึงการยกย่องเชิดชูอย่างเพ้อฝันว่า ประชาชนถูกต้องเสมอ ฉลาด มีภูมิปัญญาเป็นเลิศ แต่เราต้องมั่นคงกับหนทางที่ให้ประชาชน
มีอำนาจตัดสินทางเลือกของตนไม่ว่าจะฉลาดหรือด้อยปัญญาก็ตามที..”(41)
ก่อนจบ ผมมีพล็อตเรื่องสั้นมาฝาก 2 เรื่อง และเพื่อความสบายใจ พล็อตเรื่องที่ว่านี้ขอให้อยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า “ไซ-ไฟ”
พล็อตเรื่องแรก : โลกอนาคตที่ไกลโพ้นออกไป 20,000ปี ไกลมากแล้วนะครับ
อะไรจะเกิดขึ้น..ถ้าประเทศสยาม ณ เวลาอีก 20,000 ปีนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ!
พล็อตเรื่องที่สอง : โลกปัจจุบัน อะไรจะเกิดขึ้น.. เมื่อ “มนุษย์ต่างดาว”
นำยานมาลงจอดที่สนามหลวง และได้พบกับคณะนักปราชญ์ผู้มีปัญญาล้ำเลิศคณะหนึ่ง พวกเขาได้แนะนำให้ “มนุษย์ต่างดาว”รู้จักกับโครงการในพระราชดำริต่างๆ และได้บอกความลับให้ “มนุษย์ต่างดาว” รับรู้เกี่ยวกับปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” “มนุษย์ต่างดาว” รู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง พวกเขานำยานกลับไปยังดวงดาวที่จากมา และเริ่มต้นโครงการตามแนวทางพระราชดำริและปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง”
พล็อตที่ว่ามานี้ถ้านำมาเขียน ท่านคิดว่าคณะกรรมการ “พานแว่นฟ้า” จะพิจารณาให้เรื่องไหนได้รางวัล
ขอบคุณครับ
เชิงอรรถ
อบ ไชยวสุ, สะกดให้ถูกตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2493,สำนักพิมพ์ก้าวหน้า พ.ศ.2505
พจนานุกรมฉบับมติชน, สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2547
ดำเนิน การเด่น เสฐียรพงษ์ วรรณปก, พจนานุกรมไทย-อังกฤษ (ฉบับปรับปรุง), สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ.2551
“ศรีบูรพา”, คำขานรับ (เรื่องสั้น), พิมพ์ครั้งแรกใน นสพ. เดลิเมล์วันจันทร์ ฉบับวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2493
สุชาติ สวัสดิ์ศรี (บรรณาธิการ), คำขานรับ : รวมเรื่องสั้นร่วมสมัยของไทย “บทกล่าวนำ”, สำนักพิมพ์ดวงกมล พ.ศ.2519 และ “จิตสำนึกขบถในเรื่องสั้นไทย พ.ศ.2506-2519” วารสารภาษาและหนังสือ ปีที่ 29 พ.ศ.2541
เจตนา นาควัชระ “ละครพูดกับวิญญาณประชาธิปไตย” ปาฐกถาช่างวรรณกรรม ครั้งที่ 1, ช่อการะเกด 27 พฤษภาคม-มิถุนายน พ.ศ.2539
นิธิ เอียวศรีวงศ์, มติชนสุดสัปดาห์ ปีที่ 32 ฉบับที่ 1670 ฉบับวันที่ 17 – 23 สิงหาคม พ.ศ.2555
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, “นักปฏิวัติกับประเด็นจิตวิญญาณ” ตัวตนและจิตวิญญาณ : รวมบทความและปาฐกถา, สำนักพิมพ์สามัญชน พ.ศ.2545
อ่านเอกสารชั้นต้นได้จาก “ภาคผนวก” ใน แนวความคิดประชาธิปไตย ของปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์จัดพิมพ์ในวาระครบรอบ 100 ปีชาตกาล ปรีดีพนมยงค์ 11 พฤษภาคม 2553 และ ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ฉบับ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 สุพจน์ ด่านตระกูล อ้างใน เสวนา “75 ปี 24 มิถุนายน 2475 : 75 ปีของอะไร?” สถาบันปรีดี พนมยงค์ พ.ศ.2550
สุชาติ สวัสดิ์ศรี (บรรณาธิการ) มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ : ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์, คณะกรรมการจัดงาน ในวาระ “100 ปี ศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์)” พ.ศ.2545
วรรณกรรมหรือสิ่งพิมพ์ของ “พวกในป่า” ( “ศรีดาวเรือง” เคยใช้ชื่อนี้เป็นชื่อเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร ปุถุชน 8 : ตุลาคม 2518) ได้ปรากฏขึ้นในหลายรูปแบบ เช่นบทกวี เรื่องสั้น นวนิยาย บทความวิจารณ์ บทความบันทึก และมีการเผยแพร่ภายใน “จัดตั้ง” ตั้งแต่ช่วงปลายปี พ.ศ.2519 จนถึงปลายปี พ.ศ.2523 โดยเรียกชื่อผลงาน “ในป่า”ของตนว่าเป็น “วรรณกรรมเพื่อชีวิต” และมีการจัดตั้งสำนักพิมพ์ในชื่อ “สำนักพิมพ์วรรณกรรมเพื่อชีวิต” ขึ้นมาด้วย เพื่อตั้งใจให้สืบต่อกับขนบของคำว่า “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” ในความหมายที่ “ทีปกร”เคยเขียนไว้ในหนังสือ ศิลปเพื่อชีวิต ที่รวมมาจากข้อเขียนเกี่ยวกับศิลปะที่เขาเขียนมาตั้งแต่ พ.ศ.2498 และสำนักพิมพ์เทวเวศน์นำมารวมพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2500 และชื่อนี้ได้มีนักศึกษา-ปัญญาชนกลุ่มหนึ่งนำมาใช้เป็นชื่อนิตยสาร มหาราษฎร์ ฉบับวรรณกรรมเพื่อชีวิต เมื่อ พ.ศ.2515 โดยจัดทำออกมาทั้งหมด 6 เล่ม แต่เมื่อคำว่า เพื่อชีวิต ถูกนำมาเป็นความหมายเฉพาะของ “พวกในป่า” โดยจัดทำ “วรรณกรรมในป่า” ออกมาในรูปแบบ “โรเนียว” มีปรากฏในหลายเขตงาน ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ นอกจากนั้นยังมีหนังสือพิมพ์ (โรเนียว) และนิตยสาร (โรเนียว) ที่มีเป้าหมายเผยแพร่ไปทั่วประเทศ ทั้งในเขตงาน “ปิดลับ” และเขตงานที่เป็น “แนวร่วม” ขบวนหนังสือ “ในป่า”เหล่านี้มีที่ปรากฏจากเอกสารชั้นต้น เช่น สามัคคีสู้รบ อธิปัตย์ ประกายไฟ ลั่นกลองรบ ไฟลามทุ่ง ดาวแดง และ วรรณกรรมเพื่อชีวิต ผลงานเรื่องสั้น นวนิยาย บทกวีและบทบันทึก “ในป่า” มีตัวอย่างเช่น ปากกากับกระสุน กระสุนนัดแผ่เมตตา (ประเสริฐ จันดำ) ใบไม้ร่วงแล้วผลิ พักพลที่นาหิน ก่อนฟ้าจะสาง (สุรชัย จันทิมาธร) เลาะเลียบริมภู คนมิใช่หิน (วิสา คัญทัพ) นิราศภูพาน (ยงค์ ยโสธร) ใต้เงาปืน จากลานโพธิ์ถึงภูพาน (วัฒน์ วรรลยางกูร) ลาก่อนนาวังเหล็ก หนุนขอนนอนป่า (สมคิด สิงสง) เกิดในกองทัพฯ (จิระนันท์ พิตรปรีชา) ช่อดอกไม้ (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล) แรงน้ำใจ (พิทยา ว่องกุล) คำตัดสินของบัว (ธัญญา ชุนชฎาธาร) บทเพลงของผู้บุกเบิก ดงแดง ในกรงเล็บ (เริงรวี อรุณรุ่ง) ที่สุดแห่งความปรารถนา (ทองอิน มาบชะอำ) ทลายแนวปิดล้อม (คำเพลิง ผานอก) ศึกดงอินำ (รบชนะ ช่ำชองยุทธ) บนเทือกเขาบรรทัด (พิราบ สันเย็น) ไม่มีหูหรือสหาย (ห้วย คำจัน) คนกับอาวุธ (จรยุทธ์ ภูซาง) อ้อมอกแม่ (แคน ภูพาน) ยุทธการต้านทางรถ (ชัชวาล ปทุมวิทย์) บันทึกจากวนาถึงนาคร (ชลธิรา สัตยาวัฒนา) เกิดในภูเขา เหล็กกล้าในเบ้าหลอม (รวมเรื่องสั้นของนักเขียนปฏิวัติไทย ที่เสถียร จันทิมาธรเป็นบรรณาธิการ) ฯลฯ นอกจากนั้นก็มีหนังสือพิมพ์โรเนียวในเขตงานต่างๆ เช่น ตะวันแดง (พะเยา) ตะวันแดง (พัทลุง-ตรัง) ไฟเหนือ (เชียงราย) ไฟป่า (นครศรีธรรมราช) ธงชัย (อีสานใต้) ธงปฏิวัติ (ภูพาน) ปลดแอก (พิษณุโลก-เพชรบูรณ์-เลย) หลักชัย (ตะนาวศรี) ฯลฯ ความเคลื่อนไหวทางวรรณกรรมของ “พวกในป่า”ที่มีเอกสารชั้นต้นปรากฏเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของจิตสำนึก หรือจิตวิญญาณประชาธิปไตยในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2519-2523 ที่น่าสนใจไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และก็ด้วยเหตุที่คำว่า วรรณกรรมเพื่อชีวิต ได้ไปปรากฏ “ในป่า”เสียแล้ว การจัดทำ โลกหนังสือฉบับเรื่องสั้น อันเป็นต้นกำเนิดของนิตยสารเรื่องสั้น ช่อการะเกด เมื่อปี พ.ศ.2521 จึงได้เอาคำว่า “สร้างสรรค์” มาใช้เป็น “เรื่องสั้นสร้างสรรค์” ในความหมายที่เป็น “ใบหน้าอันหลากหลาย” โดยไม่เกี่ยวกับวรรณกรรม “ในป่า” แม้จะมีจิตวิญญาณบางอย่างร่วมกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันมาตั้งแต่สมัยก่อนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 (อ่านรายละเอียดจากบทนำ โลกหนังสือ ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 : ตุลาคม 2522) และต่อมาคำว่า “สร้างสรรค์“ กลุ่มวรรณกรรมในเมืองที่ชื่อ วรรณกรรมพินิจ ได้นำเอาไปใช้ด้วย แต่ก็ใช้ในความหมายค่อนข้างแคบ กอง บก. โลกหนังสือ จึงจัดสนทนา “จัตุรัสความคิด”ขึ้น เพื่อหาความเข้าใจให้คำว่า “สร้างสรรค์” มีแง่มุมที่กว้างขวางขึ้น ดังมีประเด็นอยู่ใน โลกหนังสือ ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 : ตุลาคม 2523 คำว่า เพื่อชีวิต และ สร้างสรรค์ จึงมีนัยยะเชิงประวัติในแง่การต่อสู้ทางความคิดมาตั้งแต่ก่อนและหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 รายละเอียดเกี่ยวกับวรรณกรรม “ในป่า” อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง 4 ปีของเรื่องสั้นในขบวนการปฏิวัติไทย พ.ศ.2519-2522 โดยผู้ใช้นามปากกาว่า “กลุ่มนักเขียน – นักหนังสือพิมพ์เพื่อประชาชน” ใน วารสารภาษาและหนังสือ ฉบับเฉลิมพระเกียรติ ฉลองพระชนม์พรรษา 6 รอบ : 5 ธันวาคม 2442
ทองแถม นาถจำนง, (คำนิยม) คืนเดือนเพ็ญ : รวมวรรณกรรมเรื่องสั้นการเมืองพานแว่นฟ้า 2545, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ พ.ศ.2546
สิงห์สนามหลวง, “สิงห์สนามหลวงสนทนา” เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6-12 สิงหาคม พ.ศ.2544 บทความ เรื่องสั้นเรื่องแรกของไทย โดย พิทยา ว่องกุล และเอกสารชั้นต้น นายจิตรนายใจสนทนากัน จากการชำระต้นฉบับโดย “ศรีดาวเรือง” ใน บานไม่รู้โรย ปีที่ 1 ฉบับที่ 4 พฤษภาคม 2528
14-15. สุชาติ สวัสดิ์ศรี (บรรณาธิการ) เพื่อนพ้องแห่งวันวาร : เรื่องสั้น “สุภาพบุรุษ” , กองทุนสุภาพบุรุษ 31 มีนาคม พ.ศ.2553
16. ดูรายละเอียดเพิ่มเติม “ตัวอย่างสิ่งพิมพ์เก่า ปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงต้นสมัยรัชกาลที่ 8 (ภาคผนวกพิเศษ 5) ใน เพื่อนพ้องแห่งวันวาร เรื่องสั้น “สุภาพบุรุษ” อ้างแล้ว
17. มนุษยภาพ หรือความเปนมนุษย์ หรือความเปนคน ควรวางอยู่บนลักษณะอย่างไร...ตัวเราเปนใคร มีส่วนอยู่มากน้อยเพียงไรในความเสื่อมความเจริญของประเทศชาติ เรามีสิทธิอะไรบ้าง และควรใช้สิทธิ์นั้นได้ภายในขอบเขตเท่าใดที่นิติธรรมของประเทศอนุญาตให้...ความจริงและความซื่อตรงจะต้องไปด้วยกันเสมอ ความซื่อตรงคือความจริง และความจริงก็คือความซื่อตรง...ความจริงเปนบ่อเกิดแห่งนิติธรรมต่างๆ เปนหัวใจของความบริสุทธิ์ และของความอิสระ...” บางตอนจาก มนุษยภาพ โดย กุหลาบ สายประดิษฐ์ อ้างใน มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ : ข้อเขียนการเมืองของกุหลาบ สายประดิษฐ์, สุชาติ สวัสดิ์ศรี (บรรณาธิการ) 2545
18. ดูรายละเอียดใน ฐาปนันท์ นิพิฎฐกุล, ภราดรภาพนิยม (Solidarisme) ของ ปรีดี พนมยงค์ ปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2549
19. ขอให้สังเกตประโยค “แม้แต่หมาวัดยังไม่อดตาย” เปรียบกับภาพหมาวัดขี้เรื้อนในตอนจบของเรื่องสั้น พระแม่คงคา เถ้าแก่บัก และหมา ที่ “ศรีดาวเรือง”เขียนเมื่อปี พ.ศ.2520 (ลลนา : พฤศจิกายน 2520) ในเรื่องสั้นดังกล่าว “ศรีดาวเรือง”ได้เขียนไว้เป็นฉากจบว่า
“..หมาขี้เรื้อนที่นอนหนาวสั่นตัวนั้นลุกเดินอย่างเหงาหงอยออกไปก้มๆเงยๆที่กองขยะแห่งนั้น พร้อมกับทำจมูกฟิดฟิดอย่างขัดใจ เพราะหาอะไรเป็นประโยชน์กับท้องอันแสนหิวของมันไม่ได้ มันก้มๆเงยๆ หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะทำได้เพียงแค่หย่อนตูดลงขี้ไว้บนกองกระทงแห่งนั้น พร้อมกับตะกุยตีนสองสามที และวิ่งออกจากวัดไปอย่างไม่แยแส”
ภาพหมาวัดขี้เรื้อนดังกล่าว ดร.เบนเนดิกท์ แอนเดอร์สัน ผู้แปลเรื่องสั้นชิ้นนี้เป็นภาษาอังกฤษได้เขียนบทกล่าวนำให้ความเห็นเกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง พระแม่คงคา เถ้าแก่บัก และหมา ไว้ในหนังสือเรื่อง ในกระจก : วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน (สำนักพิมพ์อ่าน 2533) มีความตอนหนึ่งว่า “..
“..อารมณ์เย้ยหยันอันเยียบเย็นของประโยคสุดท้ายนั้น (ซึ่งเย้ยหยันทั้งพระ คณะกรรมการวัด ข้าราชการ เจ้าสัว และบรรดาผู้มีศรัทธาแรงกล้าแต่อ่อนต่อโลกที่ยอมให้ตนเองถูกปอกลอกโดยผู้จัดงาน) โหดร้ายเสียยิ่งกว่าประโยคใดๆ..ถือได้ว่าเป็นคุณภาพเฉพาะตัวในลีลาของผู้เขียน วิธีดีที่สุดหากจะบรรยายลีลานี้ ก็อาจจะต้องเรียกว่าเป็นการถอยห่างอย่างบาดลึก จงใจปฏิเสธการรู้เห็นเป็นใจใดๆกับผู้อ่าน ‘ที่อยู่ภายนอกของเรื่องราว’ ทั้งยังไม่ยอมให้มีการเชื่อมโยงใดๆกับตัวละคร..”
แต่สิ่งที่ ดร.เบนเนดิกท์ แอนเดอร์สันไม่ได้กล่าวเชื่อมโยงไว้ก็คือ ภาพของหมาวัดขี้เรื้อนในเรื่องสั้น พระแม่คงคา เถ้าแก่บัก และหมา ที่“ศรีดาวเรือง”เขียนขึ้นในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ชิ้นนี้ น่าจะมีนัยยะที่ลงลึกไปถึงคำว่า “..หมาวัดยังไม่อดตาย” อันเป็นประโยคที่รัชกาลที่ 7 ได้กล่าววิจารณ์ เค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง) ของนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ใน สมุดปกขาว เมื่อ พ.ศ.2476
20. “75 ปี 24 มิถุนายน 2475 : 75 ปีของอะไร?” ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ฉบับ 27 มิถุนายน 2475, อ้างแล้ว
21. เทอดรัฐธรรมนูญ เป็นชื่อหนังสือวรรณกรรมรายปีในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 โด่งดังเป็นที่รู้จักและเป็นเหมือนสนามประลองฝีมือการประพันธ์ของนักเขียน นักประพันธ์ไทยในรุ่นทศวรรษ 2470 และ 2480 หนังสือวรรณกรรมรายปีที่โด่งดังในสมัยนั้นและกลายเป็นหนังสือ “หายาก”อย่างยิ่งในสมัยนี้ มี 2 รายชื่อ คือ งานกาชาด และ เทอดรัฐธรรมนูญ นักเขียน นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ผู้ใดมีชิ้นงานได้รับพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือวรรณกรรมรายปี 2 เล่มนี้ จึงเป็นเหมือนพื้นที่ “ผ่านเกิด”ของพวกเขา นักเขียน นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ที่มาชุมนุมกันเป็นรายปีนี้ มีทั้งที่เคยมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ในรุ่นรอยต่อของทศวรรษ 2450 และ 2460 หนังสือวรรณกรรมรายปี งานกาชาด จัดทำขึ้นเป็นอนุสรณ์ “งานกาชาด” ประจำปี ไม่มีหลักฐานครบถ้วนว่าหนังสือ งานกาชาด ได้จัดทำผ่านมากี่เล่ม เอกสารชั้นต้นที่เคยเห็นทั้ง งานกาชาด และ เทอดรัฐธรรมนูญ คือฉบับประจำปี พ.ศ.2477 เข้าใจว่าหนังสือ เทอดรัฐธรรมนูญ ที่มีเรื่องสั้น ลาก่อนรัฐธรรมนูญ ของ “ศรีบูรพา” นั้นพิมพ์ครั้งแรกมาตั้งแต่เมื่อ
พ.ศ.2476 ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ได้เคยนำเอาต้นฉบับของเรื่องสั้นชิ้นนี้มาให้สำนักพิมพ์วิทวัสจัดพิมพ์ขึ้นอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ.2522 และได้นำเอาเรื่องสั้นอื่นๆของ “ศรีบูรพา” เช่น ความรักของปุถุชน คืนที่ลืมไม่ได้ ทำเงินทำงาน ใครจะเป็นคนฟัง และ อาหารแห่งชีวิต มาจัดพิมพ์ในเล่มเดียวกันด้วย โดยเรื่องสั้น ลาก่อนรัฐธรรมนูญ ที่นำมาพิมพ์ครั้งที่ 2 ได้ให้ที่มาของแหล่งพิมพ์ครั้งแรกไว้ว่า พิมพ์อยู่ในหนังสือรายปี เทอดรัฐธรรมนูญ 2476 ส่วนเรื่องสั้นอื่นๆที่เป็นเรื่องสั้นในสมัยแรกของ “ศรีบูรพา”กลับไม่ได้ให้ที่มาของ “เอกสารชั้นต้น”ไว้เลย สำหรับหนังสือรายปี เทอดรัฐธรรมนูญ ที่ลงพิมพ์เรื่องสั้น ลาก่อนรัฐธรรมนูญ ไว้เมื่อ พ.ศ.2476 นี้ ต่อมาได้มีการจัดทำหนังสือ เทอดรัฐธรรมนูญ ประจำปี พ.ศ.2477 ออกมาอีก โดยมี “ธนเหนือ” เป็นบรรณาธิการ (“ธนเหนือ” เป็นนามปากกาของนักเขียน นักประพันธ์ และนักแปลในรุ่นทศวรรษ 2460) และในหนังสือ เทอดรัฐธรรมนูญ ประจำปี พ.ศ.2477 นี้ ได้ปรากฏเรื่องสั้นเรื่องแรกของเสนีย์ เสาวพงศ์ ที่ชื่อ วณิพก อยู่ด้วย โดยในครั้งนั้นใช้นามจริงว่า “บุญส่ง บำรุงพงศ์” (ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น “ศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์” ในภายหลัง)
22. เรื่องสั้น ลาก่อนรัฐธรรมนูญ ที่ปรากฏในหนังสือรายปี เทิดรัฐธรรมนูญ 2476 นี้ “ศรีบูรพา”ได้นำเอากรณี “กบฏบวรเดช” มาสร้างเรื่องโดยจำลองขึ้นจาก
เหตุการณ์จริง กล่าวคือนายพันเอกพระยาสิงหราชคำรน ที่มีศักดิ์เป็นลุงของนายสมศักดิ์ เด่นชัย นั้น น่าจะจินตนาการมาจากชีวิตของนายพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) ซึ่งเป็นแม่ทัพคนหนึ่งของฝ่ายคณะเจ้าที่เสียชีวิตในการสู้รบ นายพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) ผู้นี้ โดยประวัติคือบิดาของ พญ.โชติศรี ท่าราบ นักเขียนสตรีที่ผู้อ่านรู้จักกันในนามปากกา “จิ๋ว บางซื่อ”
นอกจากนั้นยังมีบทละครของเสาว์ บุญเสนอที่ในครั้งนั้นใช้นามปากกาว่า “ลี เชยสกุล” เขียนบทละครพูดประกอบเพลงไว้ในชื่อ คืนปฏิวัติ งานเขียนในรูปแบบ “บทละครฉากเดียวจบ” ของเสาว์ บุญเสนอชิ้นนี้ เข้าใจว่าเขียนขึ้นในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ .ศ.2475 ไม่แน่ใจว่าได้รับการพิมพ์ครั้งแรกหรือยัง แต่เคยเห็นต้นฉบับพิมพ์ดีดอยู่ที่บ้านของ “ลุงเสาว์” ตั้งแต่เมื่อครั้งที่บ้านหลังนั้นยังไม่ได้กลายเป็น “พิพิธภัณฑ์บ้านนักเขียน เสาว์ บุญเสนอ” อยากขอให้สืบค้นดู ถ้ายังไม่ได้ตีพิมพ์ สมาคมนักเขียนฯควรนำ “เอกสารชั้นต้น”ชิ้นนี้มาเผยแพร่ เพื่อประกาศเกียรติคุณให้ “ส.บุญเสนอ” บทละครพูดประกอบเพลง “ฉากเดียวจบ”เรื่อง คืนปฏิวัติ ที่ว่านี้สะท้อนบรรยากาศของการ “ยึดอำนาจ”ในสังคมไทยเหมือนหนึ่งเป็น “นิสัยปกติ”
23. เชิดนอก เป็นงานเขียนในรูปแบบ non-fiction novel ยุคแรกของประวัติวรรณกรรมไทยสมัยใหม่ โดยก่อนหน้านั้นมีหนังสือในรูปแบบใกล้เคียงกันชื่อ แดนหก โดย ชุลี สารนุสิต อดีตนักโทษการเมืองในรุ่นนั้น และเป็นนักเขียนเรื่องสั้นในอดีตอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนถูกแวดวงวรรณกรรมในปัจจุบันลืมไปแล้ว หนังสือหายากในรูปแบบ “บันทึกความทรงจำ” เล่มนี้ เคยมีอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง แต่ปัจจุบันได้มอบให้ “น้องน้ำไปเรียบร้อยแล้ว เชิดนอก ที่นำมาอ้างนี้เป็นบทหนึ่งในหนังสือชื่อ ยุคทมิฬ ที่พายัพ โรจนวิภาต (สมัยรับราชการมียศเป็น ร.ท.ขุนโรจนวิชัย) เขียนขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2480 เข้าใจว่างานชิ้นนี้จะพิมพ์เป็นตอนๆในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ก่อนจะนำมารวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ กรกฎาคม พ.ศ.2489 และ ยุคทมิฬ เล่มนี้เป็นคนละเล่มกับ ยุคทมิฬ
ที่เป็นชื่อหนังสือรวมเรื่องสั้นของ อิศรา อมันตกุล เมื่อ พ.ศ.2495 ยุคทมิฬ ของ พายัพ โรจนวิภาตเล่มนี้ ต่อมาสำนักพิมพ์สอ เสถบุตรได้นำมาจัดพิมพ์ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2515 เนื้อหาที่ไม่รวม “ภาคผนวก” มีทั้งหมด 10 บท เชิดนอก เป็นบทที่ 6 นำเสนอภาพการประหารชีวิตนักโทษการเมือง 18 คนที่ตกเป็นจำเลยใน “ฐานะกบฏ” ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ.2481 นักโทษการเมืองที่ได้ถูกประหารชีวิตไปในครั้งนั้นก็เช่น พ.ท.พระสุวรรณชิต พ.อ.หลวงชำนาญยุทธศิลป์ พ.ท.หลวงไววิทยาศร พ.ต.ต.ขุนนามนฤนาถ ร.อ.จรัส สุนทรภักดี ร.ท.แสง วัณณะศิริ นายลี บุญตา ฯลฯ และชื่อที่คุ้นกันมากที่สุดคือ ร.ท.ณ เณร ตาละลักษณ์ นี่คือความขัดแย้งในฝ่ายคณะราษฎรสายทหาร ระหว่างพระยาทรงสุรเดชและจอมพล ป.พิบูลสงคราม สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงครามได้อำนาจเป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2481-2487) ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้น “ชาตินิยมทางทหาร” และการประกาศ “รัฐนิยม” ฉบับต่างๆ เช่น การยืนตรงเคารพธงชาติวันละ 2 เวลา ในปัจจุบันผลสืบเนื่องจากความคิดเผด็จการของจอมพล “ตราไก่”ผู้นี้ก็ยังปรากฏอยู่ และในสมัย “ชาตินิยมทางทหาร” ครั้งนี้เองที่เลือดต้องหลั่งเพื่อสังเวยคำว่า “ประชาธิปไตย”อีกครั้งหนึ่ง โดยมีสมญาเรียกกันว่า “ยุคทมิฬ”
24. ประชาทัณฑ์ เป็นเรื่องสั้นที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของ สันต์ เทวรักษ์ พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร โบว์แดง รายสัปดาห์ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2490 นำเสนอภาวะเหนือจริงเหมือนตกอยู่ในดินแดนประหลาดของตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง ลีลาการประพันธ์อาจจัดให้เป็นเรื่องสั้น “เซอร์เรียลิสท์” รุ่นแรกๆของประวัติเรื่องสั้นไทยสมัยใหม่ก็คงได้ ดังเช่นประโยคว่า “..เขาเป็นบุคคลที่ตายแล้ว ตายตามคำ
พิพากษาของประชาชน ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาเดินไปในป่าช้าของชีวิต..เขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาได้ตายไปแล้ว ตายเพราะเขาต้องประชาทัณฑ์..” ถ้าเราได้ศึกษา “เอกสารชั้นต้น” ในอดีตอย่างต่อเนื่อง เราคงจะเห็นว่างานของนักเขียน นักประพันธ์ไทยในอดีตก็มีลีลา “แนวทดลอง” มากบ้างน้อยบ้างมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเริ่มต้นที่ วินทร์ เลียววาริณ หรือ ปราบดา หยุ่น และถ้าสันต์ เทวรักษ์มาเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ในรุ่นทศวรรษ 2510 บางทีเขาอาจจะถูกมองว่าเป็นนักเขียนใน “คตินิยมสมัยใหม่” (modernism) เหมือนเช่นนักเขียนไทยในรุ่นทศวรรษ นั้นก็คงได้ ผมเคยนำเรื่อง ประชาทัณฑ์ มาพิมพ์ซ้ำอีกครั้งใน โลกหนังสือ ปีที่ 1 ฉบับที่ 6 : มีนาคม พ.ศ.2521 เพื่อนำเสนอตัวอย่างเรื่องสั้น “ต่อต้านเผด็จการ”ของไทยในอดีตที่แสดง “จิตวิญญาณประชาธิปไตย” อยู่ในเนื้องานทางอ้อม เมื่อเร็วนี้มีการศึกษาเรื่องสั้นไทยในแนวคตินิยมสมัยใหม่ โปรดอ่าน สรณัฐ ไตลังคะ เรื่องสั้นไทยแนวคตินิยมสมัยใหม่ พ.ศ.2507 – 2516 วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2550
25. DUM SPIRO, SPERO เรื่องสั้นชื่อภาษาละตินเรื่องนี้ อิศรา อมันตกุล เขียนพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร สยามสมัย รายสัปดาห์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2491 และสำนักพิมพ์ภราดรได้นำมารวมพิมพ์เป็นเล่มครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2495 ในชื่อปกว่า ยุคทมิฬ หนังสือรวมเรื่องสั้นของอิสรา อมันตกุลเล่มนี้มีเนื้อหาสะท้อนจิตวิญญาณประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ โดยอิศราได้นำเสนอความคิดของเขาไว้ในคำกล่าวปิดท้ายตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าเป็นสามัญชนคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียนเฉพาะแต่เรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรนและความหวังของประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงาน เพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้องและศตวรรษแห่งสามัญชนขึ้นในระยะนี้”
เนื้อหาของ DUM SPIRO, SPERO เล่าถึงนายสุจริต ธาดา นักหนังสือพิมพ์ผู้ผันตัวเองไปเป็นนักการเมือง และเริ่มต้นเปิดโปงเรื่องทุจริตของนักการเมืองในรัฐสภา จนถูกรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งเป็นพ่อของหญิงคนรัก “สั่งเก็บ” แต่ “.. กระสุนพลาดเป้าเฉียดไปโดนเข้าที่ไหล่” ขณะนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อนนักหนังสือพิมพ์ได้ถามเขาว่า “นี่นายยังหวังจะสู้อิทธิพลมืดต่อไปอีกหรือ” นายสุจริต ธาดา ก็ตอบว่า “Dum spiro, spero!” (แปลว่าอะไร ขอความรู้จากผู้รู้ภาษาละตินด้วย)
26. ถิ่นสยอง โดย “ดาวหาง” นามปากกาของนักเขียนเรื่องสั้นสะท้อนภาพสังคม-การเมืองในรุ่นรอยต่อแห่งทศวรรษ 2490 และ 2500 นามปากกา “ดาวหาง”ผู้นี้ เจือ สตะเวทิน เคยให้ความเห็นไว้ทำนองว่า ผลงานเรื่อง พัทยา ที่เขียนโดย “ดาวหาง” คือนวนิยายการเมืองเรื่องแรกของไทย ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่ชัดเจนนักว่าจริงหรือเปล่า เพราะในความเห็นของผม เรื่องสั้น นายจิตรนายใจสนทนากัน ก็มีนัยยะของคำว่า “การเมือง”มาตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2417 โน่นแล้ว เรื่องสั้น ถิ่นสยอง ที่อ้างพิมพ์ครั้งแรกใน สยามสมัย รายสัปดาห์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 137 ( 26 ธันวาคม 2492) เล่าเรื่องของ ส.ต.ต. ห้าว กรกำแหง “เสือแม่นปืนแห่งสันติบาล” ที่ถูกมอบหมายให้ไปจับตัวหัวหน้าผู้ก่อการจลาจล แต่เกิดผิดพลาด ตำรวจที่ไปจับนั้นกลับ“ลั่นไกปังเดียว” จนหัวหน้าผู้ก่อการจลาจลคนนั้นเสียชีวิต และเรื่องนี้มารู้ในภายหลังว่า ผู้ที่เขาได้รับคำสั่งให้ไปจับนั้น เป็น “นักเขียนจนๆคนหนึ่ง”
27.บนผืนดินไทย เรื่องสั้นของ “อ.อุดากร” (นามปากกาของ อุดม อุดาการ)เรื่องนี้ ได้รับการพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร อักษรสาส์น ฉบับเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2493 เล่าถึง “หมอกบฏ”คนหนึ่งที่กำลังหลบหนีการตามล่าของตำรวจ เขาเป็นหมอที่มีชื่อปรากฏอยู่ใน “จำนวนผู้ที่จะต้องถูกกวาดล้าง” ระหว่างการหลบหนี เขาพบเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนหมอมาด้วยกัน เพื่อนผู้นั้นขอเสียสละเบี่ยงเบนความสนใจของตำรวจ เพื่อ “หมอกบฏ”ผู้นั้นจะได้อยู่รักษาลูกชาวบ้านคนหนึ่งที่กำลังป่วยหนัก และในที่สุดเพื่อนของ “หมอกบฏ”ผู้นั้นก็ถูกตำรวจที่ตามล่ายิงตาย ประโยคสุดท้ายของเขาในเรื่องสั้นนี้คลาสสิคมาก
“เผชิญ, แผ่นดินไทยผืนนี้ฝากไว้ด้วย”
บนผืนดินไทย ของ “อ.อุดากร” พิมพ์ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2493 ดังนั้นจึงเข้าใจว่า “อ.อุดากร” คงจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาจากสถานการณ์ทางการเมืองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 ซึ่งเป็นการรัฐประหาร (ที่ล้มเหลว) ของคณะนายปรีดี พนมยงค์ และในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เรียกกันว่า “กบฏวังหลวง”
28. สุชาติ สวัสดิ์ศรี (บรรณาธิการ) , “บทกล่าวนำ” คำขานรับ สำนักพิมพ์ดวงกมล พ.ศ.2519
29. ชุมนุมปาฐกถา 70 ปี ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, สยามยามเปลี่ยน (ไม่)ผ่าน, สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน พฤษภาคม พ.ศ.2555
30. ธนาพล อิ๋วสกุล, “บันทึก 80 ปีการเมืองไทย จาก 2475 ถึง 2555” อ้างใน สารคดี ฉบับที่ 328 มิถุนายน พ.ศ.2555
31. “เรากำลังเรียกร้องและเขียนถึงสิ่งที่เชยเหลือเกิน เราต้องล้าสมัยให้เท่าทันกับความเป็นจริงที่ล้าหลัง as obsolete as reality itself ล้าสมัยเท่าสมัยที่ล้าหลังในบริบทอัน ‘เฉพาะเจาะจง’ ความทันสมัยหรือท่าทีแบบหลังสมัยใหม่อาจถูกใช้แบบฉวยโอกาส เถรตรง หรือไม่แยบคายต่อการเมืองจนกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อการเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติ ในบริบทอันเฉพาะเจาะจง เราต้องกลับไปหาความเป็นสมัยใหม่อันล้าสมัยเพื่อที่จะไปให้พ้นจากความร่วมสมัยที่ล้าหลัง..” อ่านรายละเอียดใน มุกหอม วงษ์เทศ “ล้าสมัยเท่าสมัยที่ล้าหลัง” วารสาร อ่าน ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 เมษายน-มิถุนายน พ.ศ.2555
32. อ่านความเห็นเรื่อง “ราชาชาตินิยม” จาก ธงชัย วินิจจะกุล ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา, ปาฐกถา 14 ตุลา ประจำปี 2548 , มูลนิธิ 14 ตุลา,2548
33. นีลล์ มุลเดอร์, “การสื่อแสดงความหมายทางวัฒนธรรมของแก่นเรื่องที่เด่นๆในวรรณกรรมสมัยใหม่ของไทยและชวา” (พวงร้อย คำเรียง, คำแก้ว อัศนี แปล) ใน โลกหนังสือ ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 : พฤศจิกายน 2523
34. อ้างใน ปรีชา สุวรรณทัต, เสวนา “75 ปี 24 มิถุนายน 2475 : 75 ปีของอะไร?” ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ฯ, สถาบันปรีดี พนมยงค์ มิถุนายน 2550
35. อ่านบรรยากาศบางส่วนเกี่ยวกับวรรณกรรม “เล่มละบาท” ได้จาก ประจักษ์ ก้องกีรติ ก่อนจะถึง 14 ตุลา : ความเคลื่อนไหวทางการเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชน ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร (พ.ศ.2506-2516) วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2545 และตัวอย่างเรื่องสั้นบางเรื่องที่นำมาจากวรรณกรรม “เล่มละบาท” ที่พิมพ์ครั้งแรกในช่วงก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในหนังสือวรรณมาลัยเรื่องสั้นร่วมสมัยของไทย 4 ชุด คือ แล้งเข็ญ (2518) ถนนสายที่นำไปสู่ความตาย (2518) เหมือนอย่างไม่เคย (2519) และ คำขานรับ (2519), สุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ สำนักพิมพ์ดวงกมล รวมพิมพ์ครั้งแรก
36. นิธิ เอียวศรีวงศ์, “คนชั้นล่าง”, มติชนสุดสัปดาห์ ปีที่ 32 ฉบับที่ 1637 : 30 ธันวาคม 2554 – 5 มกราคม 2555
37. อ่านข้อคิดเห็นในแง่มุมเกี่ยวกับเรื่องสั้น ช่อการะเกด ยุคต่างๆได้จาก
วิทยานิพนธ์ 4 เล่ม ต่อไปนี้
(1)นรินทร์ นำเจริญ,บทบาทในการสะท้อนและวิพากษ์วิจารณ์สังคมของ
นิตยสารแนววรรณกรรมไทย, วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต ภาควิชาวารสารสนเทศ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2441
(2) เจริญศรี มาศรี, วิเคราะห์เรื่องสั้นในนิตยสารช่อการะเกด, วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พ.ศ.2540
(3) เกศินี จุฑาวิจิตร, ผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ กับโลกทัศน์นักเขียน : ภาพสะท้อนสังคมและโลกทัศน์นักเขียน จากวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น ระหว่าง พ.ศ.2540-2544 , วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสหวิทยาการ คณะวิทยาการจัดการ คณะบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2548 (วิทยานิพนธ์เล่มหลัง ต่อมาได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ มองเรื่องให้เห็นภาพ : ภาพสะท้อนสังคมและโลกทัศน์นักเขียนจากเรื่องสั้นยุควิกฤตเศรษฐกิจ, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม พ.ศ.2550)
(4) Ellen Elizabeth Bocouzzi, Becoming Urban : Thai Literature about Rural – Urban Migration and a Society in Transition, Phd. Dissertation Department of South and Southeast Asian Studies, University of California, Berkeley,Fall 2007
38. อ่าน “บทนำ”ของเบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน และภาคผนวกว่าด้วยคำนิยม (สุชาติ สวัสดิ์ศรี) คำวิจารณ์ (ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์) คำตาม (ประจักษ์ ก้องกีรติ) และคำส่งท้าย (เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน) อ้างใน ในกระจก : วรรณกรรมและการเมืองสยามยุคอเมริกัน (ไอดา อรุณวงศ์ บรรณาธิการ), สำนักพิมพ์อ่าน พ.ศ.2553
39.วัตถุประสงค์ของวรรณกรรมการเมือง พานแว่นฟ้า ได้ประกาศหลักการไว้ ดังนี้
1. เพื่อสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
2. เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพทางการเมือง โดยใช้ศิลปะถ่ายทอดความรู้สึกสะท้อนภาพการเมืองและสังคม หรือจินตนาการถึงการเมืองและสังคมที่ต้องการ ในรูปแบบของเรื่องสั้นและบทกวี
3. เพื่อสืบสานสร้างสรรค์วรรณกรรมการเมืองให้มีส่วนปลุกจิตสำนึกประชาธิปไตย
(ตัวเอนข้อ 2 เน้นโดยผู้บรรยาย)
อ้างในโปสเตอร์ “ชิงรางวังพานแว่นฟ้า” ครั้งที่ 11 ประจำปี 2555 เผยแพร่โดยกลุ่มงานเผยแพร่ประชาธิปไตยและกิจกรรมสภาผู้แทนราษฎร สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร)
40. จรัญ ยั่งยืน รวมเรื่องสั้น พญาอินทรี, สำนักพิมพ์มติชน 2548
41. ธงชัย วินิจจะกุล, ข้ามไปให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา : ปาฐกถา 14 ตุลา ประจำปี 2548, อ้างแล้ว